วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เมื่อคิดจะซื้อรถต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

คนเรามีเหตุผลร้อยแปดประการถ้าอยากจะ มีรถสักคัน แม้รู้ว่าการมีรถเป็นเรื่องสิ้นเปลือง บางคนความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกไม่มีในหัว แค่ขับเป็นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะซื้อรถมาใช้สักคัน



"ทำไมจะมีไม่ได้ มีแล้วสะดวกไปไหนมาไหนไม่ต้องลำบากใช้รถเมล์ แท็กซี่"

"โหพี่ โก้จะตายรถรุ่นนี้ใครมี เท่โคตร ๆ "

"มันจำเป็น บ้านไกลที่ทำงาน ทางก็เปลี่ยวกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่มีรถจะทำอย่างไร"

"อาชีพผมมันจำเป็น ไม่มีรถก็ไม่สะดวก ติดต่อลูกค้าลำบาก"

ฯลฯ

ว่ากันไปได้เรื่อย ๆ ถ้าคนอยากจะได้อะไรสักอย่าง แต่การซื้อรถไม่ใช่ว่าร้อยหรือพันบาท ถ้าพร้อมสู้ราคาเรือนแสนเรือนล้านและคิดว่ามีปัญญาหามาจ่ายไฟแนนซ์ได้โดยไม่ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร เชิญตามอัธยาศัย แต่ที่ต้องมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะว่า ทุกวันนี้กรณีร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายรูปแบบ จึงอยากจะนำเอาประสบการณ์ของคนเหล่านี้มาถ่ายทอดเพื่อเป็นข้อเตือนใจสำหรับ คนที่คิดจะมีรถ หรือมีรถอยู่แล้วแต่ยังไม่เจอปัญหาอะไรให้ได้ตระหนักไว้ โดยจะว่าเป็นตอน ๆ ไป

โอกาสครั้งแรกนี้ขอเสนอด้วยเรื่อง ความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้รถก่อน

1.อย่าเชื่อคำโฆษณา

เพราะคุณจะผิดหวัง โฆษณาจะให้ข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ สิ่งที่นำมากล่าวในโฆษณามีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น

2.การเลือกใช้เครื่องยนต์

คุณใช้รถในเมืองหรือใช้รถเพื่อเดิน ทางไปมาระหว่างจังหวัด รถที่คุณต้องการนั้นต้องมีการบรรทุกสิ่งของด้วยหรือไม่ นั่งคนเดียวหรือแค่นั่งไปกับหมาตัวโปรดเพื่อชมวิวทิวทัศน์ คำถามเหล่านี้ต้องตอบให้กระจ่างใจเพื่อจะได้เลือกขนาดของเครื่องยนต์ให้ เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะยุคนายกทักษิณที่ค่าบริการน้ำมันแพงหูฉี่นี้ หากคุณใช้รถในเมืองที่การจราจรติดขัดเสียเหลือเกิน รถต้องหยุดต้องออกตัวบ่อย ๆ และก็ไม่ได้ต้องบรรทุกข้าวของอะไร ขนาดของเครื่องยนต์เพียงแค่ 1300 ซีซี น่าจะเพียงพอแล้ว หรือเลือกรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ

3.การซื้อรถใหม่หรือรถเก่า (มันมีปัญหาทั้งคู่แหละ)

สิ่งที่คุณต้องดูหากเป็นรถใหม่ คือชื่อเสียงของบริษัทรถยนต์ที่ต้องการซื้อ ตรวจสอบดูว่ามีการร้องเรียนปัญหาเรื่องรถบ่อยแค่ไหน ส่วนมากเป็นเรื่องอะไร ศูนย์บริการมีมากพอไหมและมีคุณภาพหรือไม่ การให้สัญญาหรือการรับประกันหลังการขายเป็นอย่างไร การแสดงความรับผิดชอบกับผู้บริโภค พวกนี้จะเป็นตัวตัดสินใจที่สำคัญ นอกเหนือไปจากเรื่องราคาที่เหมาะสมและรถที่อยู่ในความตั้งใจซื้อของคุณ

รถมือสองหรือรถเก่า เรื่องคุณภาพต้องดูให้มากกว่ารถมือ 1 สักหน่อยเพราะรถเคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมมีการเสื่อมสภาพลงไป เพราะฉะนั้นต้องดูเครื่องยนต์ว่ามีการยกเครื่องใหม่หรือยัง การใช้งานมีลักษณะปกติไหม ทางที่ดีมีที่ปรึกษาเรื่องรถไว้ช่วยคุณดูด้วยสักคนก็จะดีมาก ๆ

4.ตรวจดูเงินในกระเป๋าสตางค์

ความมั่นคงทางการเงินของคุณเป็นอย่าง ไร ว่าไปสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมากสุด คือรถโดนยึด การถูกเอาเปรียบจากไฟแนนซ์ เพราะปัจจุบันรถยนต์ใหม่ป้ายแดงบางยี่ห้อไม่ต้องมีเงินดาวน์ก็สามารถถอยออก มาขับได้ คือค่อยผ่อนตามหลังได้นานถึง 60 เดือน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะแม้แต่เงินดาวน์ยังไม่มี ต่อไปจะผ่อนไหวหรือ พอถึงเวลานั้นรถโดนยึด ตามมาด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีความกับบริษัท และไม่เพียงเดือดร้อนแค่คนซื้อ โชคร้ายพลอยส่งอานิสงค์สู่ผู้ค้ำประกันด้วย

5. ซื้อรถมือสองเงินผ่อน ถามผู้รู้ก่อนน่าจะดี

ขอยกตัวอย่างกรณีร้องเรียน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2547 มีผู้บริโภครายหนึ่ง เขียนจดหมายมาว่า "ดิฉันได้ซื้อรถยนต์มือสองมาจากเต็นท์แหล่งรถจังหวัด.... เจ้าของเดิมชื่อนาย "เช่าซื้อ" ผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายชื่อนาย "เต้นท์รถ" โดยนายเต้นท์รถบอกกับดิฉันว่ารู้จักสนิทสนมกันดีกับเจ้าของรถคันนี้เขาฝาก ขายเพื่อจะซื้อรถคันใหม่ ดิฉันจึงตกลงซื้อ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ให้วางดาวน์ก่อน 100,000 บาท และผ่อนชำระกับบริษัทสยามพาณิชย์ลิสซิ่งจำกัด อีก 4 งวด งวดละ 7,407 บาท ต่อจากนั้นให้ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมดภายในวันที่ 10 ก.ย. 47 ซึ่งดิฉันได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกประการ

ดิฉันชำระค่างวดตรงตามกำหนดทุกเดือน โดยตลอด และในวันที่ 3 ก.ย. 47 ดิฉันได้นำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด คือ 162,954 บาท เพื่อไปชำระให้หมดเพราะอยากจะโอนรถเร็ว ๆ หลังจากที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว นายเต้นท์รถบอกว่า จะจัดการโอนรถให้เรียบร้อยภายใน 1 อาทิตย์

เมื่อครบกำหนดตามที่นัดไว้ นายเต้นท์รถโทรศัพท์มาขอเลื่อนวันโอนรถ โดยบอกว่า นายเช่าซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมเซ็นต์เอกสารมอบฉันทะผิด ต้องเอาไปให้เซ็นต์ใหม่ ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร ผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปถามนายเต้นท์รถอีก คราวนี้นายเต้นท์รถบอกว่า มีปัญหากับไฟแนนซ์ โดยทางบริษัทบอกว่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันได้นำเอกสารไปยืนยันว่า ไม่เคยค้างจ่ายก่อนกำหนดด้วยซ้ำไป นายเต็นท์รถก็พูดในทำนองจะขอเงินเพิ่ม อ้างว่าขาดทุนเพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนว่าเจ้าของเก่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันไม่ยอมเพราะเห็นว่ากำลังถูกเอาเปรียบ นายเต้นท์รถจึงขอเวลาบอกว่า ขอคุยกับไฟแนนท์อีกรอบว่า ค่างวดชำระค้างที่ใครกันแน่ ตอนนี้ดิฉันเริ่มสงสัยเพราะถูกเลื่อนนัดถึง 2ครั้ง จึงเรียนปรึกษาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าควรดำเนินการอย่างไรดี"

กรณีตัวอย่างนี้เป็นปัญหายอดฮิดที่ ทางศูนย์ได้รับคำปรึกษาบ่อย ๆ หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะซื้อรถมือสองซึ่งผู้เขียนก็มีความเชื่อว่ารถมือสอง ดี ๆ มีถมไป คนขายดี ๆ ก็มีถมไป ที่สำคัญประหยัดเงินได้หลายแสนบาท แต่คุณต้องรอบคอบหาผู้รู้หาที่ปรึกษา เชื่อเถอะว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดีฉะนั้นเราต้องรอบคอบให้มาก ๆ สำหรับกรณีข้างต้น ตอนนี้นายเต้นท์รถเขาก็ได้รับกรรมของเขาแล้วเขาก็คงสำนึกบ้างล่ะนะ

6. มีรถแล้วอย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์

ลองดูกรณีนี้กัน "น้านิลคนรู้จักของผู้เขียนได้ซื้อรถกระบะมาคันหนึ่ง อายุรถคันดังกล่าวของแกก็ประมาณ 7 ปี สภาพรถ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่า เป็นรถที่พร้อมใช้งาน ทุก ๆ วัน แกก็ใช้ขับในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหนไกลมาก จนมาวันหนึ่งคราวซวยมาเยือน แกขับรถไปชนรถเบ็นซ์เข้า กรณีนี้แกไม่ได้ตั้งใจเผอิญมีหมาน้อยวิ่งตัดผ่านหน้ารถทำให้ต้องหักหลบ ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยของรถเบ็นซ์คู่กรณี ส่งใบเรียกเก็บค่าเสียหายจากแกเป็นเงิน 100,300 บาท (หนึ่งแสนสามร้อยบาทถ้วน) แกส่งเสียงอ่อย ๆ มาปรึกษาว่า แกต้องจ่ายไหม คำตอบคือ ต้องจ่ายเพราะแกเป็นคนผิดสำหรับกรณีนี้"

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมซื้อรถต้องมีประกันภัยรถด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่า รถหนึ่งคันที่เราซื้อมาจะก่อปัญหาอะไรให้กับเราในอนาคต จะไปชนไปเสียอย่างไรบ้าง ถ้าเรามีแต่ปัญญาซื้อ แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรตามมาบ้าง เราก็อาจเป็นอย่างน้านิล แต่ถ้าหากเราได้ทำประกันภัยรถยนต์ไว้ หากเรามีปัญหาอย่างน้าเราไม่ต้องทำอะไรแต่จะเป็นภาระของบริษัทประกันภัยไป คุยกันเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น