วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

เมื่อคิดจะซื้อรถต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

คนเรามีเหตุผลร้อยแปดประการถ้าอยากจะ มีรถสักคัน แม้รู้ว่าการมีรถเป็นเรื่องสิ้นเปลือง บางคนความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกไม่มีในหัว แค่ขับเป็นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะซื้อรถมาใช้สักคัน



"ทำไมจะมีไม่ได้ มีแล้วสะดวกไปไหนมาไหนไม่ต้องลำบากใช้รถเมล์ แท็กซี่"

"โหพี่ โก้จะตายรถรุ่นนี้ใครมี เท่โคตร ๆ "

"มันจำเป็น บ้านไกลที่ทำงาน ทางก็เปลี่ยวกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่มีรถจะทำอย่างไร"

"อาชีพผมมันจำเป็น ไม่มีรถก็ไม่สะดวก ติดต่อลูกค้าลำบาก"

ฯลฯ

ว่ากันไปได้เรื่อย ๆ ถ้าคนอยากจะได้อะไรสักอย่าง แต่การซื้อรถไม่ใช่ว่าร้อยหรือพันบาท ถ้าพร้อมสู้ราคาเรือนแสนเรือนล้านและคิดว่ามีปัญญาหามาจ่ายไฟแนนซ์ได้โดยไม่ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร เชิญตามอัธยาศัย แต่ที่ต้องมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะว่า ทุกวันนี้กรณีร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายรูปแบบ จึงอยากจะนำเอาประสบการณ์ของคนเหล่านี้มาถ่ายทอดเพื่อเป็นข้อเตือนใจสำหรับ คนที่คิดจะมีรถ หรือมีรถอยู่แล้วแต่ยังไม่เจอปัญหาอะไรให้ได้ตระหนักไว้ โดยจะว่าเป็นตอน ๆ ไป

โอกาสครั้งแรกนี้ขอเสนอด้วยเรื่อง ความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้รถก่อน

1.อย่าเชื่อคำโฆษณา

เพราะคุณจะผิดหวัง โฆษณาจะให้ข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ สิ่งที่นำมากล่าวในโฆษณามีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น

2.การเลือกใช้เครื่องยนต์

คุณใช้รถในเมืองหรือใช้รถเพื่อเดิน ทางไปมาระหว่างจังหวัด รถที่คุณต้องการนั้นต้องมีการบรรทุกสิ่งของด้วยหรือไม่ นั่งคนเดียวหรือแค่นั่งไปกับหมาตัวโปรดเพื่อชมวิวทิวทัศน์ คำถามเหล่านี้ต้องตอบให้กระจ่างใจเพื่อจะได้เลือกขนาดของเครื่องยนต์ให้ เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะยุคนายกทักษิณที่ค่าบริการน้ำมันแพงหูฉี่นี้ หากคุณใช้รถในเมืองที่การจราจรติดขัดเสียเหลือเกิน รถต้องหยุดต้องออกตัวบ่อย ๆ และก็ไม่ได้ต้องบรรทุกข้าวของอะไร ขนาดของเครื่องยนต์เพียงแค่ 1300 ซีซี น่าจะเพียงพอแล้ว หรือเลือกรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ

3.การซื้อรถใหม่หรือรถเก่า (มันมีปัญหาทั้งคู่แหละ)

สิ่งที่คุณต้องดูหากเป็นรถใหม่ คือชื่อเสียงของบริษัทรถยนต์ที่ต้องการซื้อ ตรวจสอบดูว่ามีการร้องเรียนปัญหาเรื่องรถบ่อยแค่ไหน ส่วนมากเป็นเรื่องอะไร ศูนย์บริการมีมากพอไหมและมีคุณภาพหรือไม่ การให้สัญญาหรือการรับประกันหลังการขายเป็นอย่างไร การแสดงความรับผิดชอบกับผู้บริโภค พวกนี้จะเป็นตัวตัดสินใจที่สำคัญ นอกเหนือไปจากเรื่องราคาที่เหมาะสมและรถที่อยู่ในความตั้งใจซื้อของคุณ

รถมือสองหรือรถเก่า เรื่องคุณภาพต้องดูให้มากกว่ารถมือ 1 สักหน่อยเพราะรถเคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมมีการเสื่อมสภาพลงไป เพราะฉะนั้นต้องดูเครื่องยนต์ว่ามีการยกเครื่องใหม่หรือยัง การใช้งานมีลักษณะปกติไหม ทางที่ดีมีที่ปรึกษาเรื่องรถไว้ช่วยคุณดูด้วยสักคนก็จะดีมาก ๆ

4.ตรวจดูเงินในกระเป๋าสตางค์

ความมั่นคงทางการเงินของคุณเป็นอย่าง ไร ว่าไปสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมากสุด คือรถโดนยึด การถูกเอาเปรียบจากไฟแนนซ์ เพราะปัจจุบันรถยนต์ใหม่ป้ายแดงบางยี่ห้อไม่ต้องมีเงินดาวน์ก็สามารถถอยออก มาขับได้ คือค่อยผ่อนตามหลังได้นานถึง 60 เดือน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะแม้แต่เงินดาวน์ยังไม่มี ต่อไปจะผ่อนไหวหรือ พอถึงเวลานั้นรถโดนยึด ตามมาด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีความกับบริษัท และไม่เพียงเดือดร้อนแค่คนซื้อ โชคร้ายพลอยส่งอานิสงค์สู่ผู้ค้ำประกันด้วย

5. ซื้อรถมือสองเงินผ่อน ถามผู้รู้ก่อนน่าจะดี

ขอยกตัวอย่างกรณีร้องเรียน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2547 มีผู้บริโภครายหนึ่ง เขียนจดหมายมาว่า "ดิฉันได้ซื้อรถยนต์มือสองมาจากเต็นท์แหล่งรถจังหวัด.... เจ้าของเดิมชื่อนาย "เช่าซื้อ" ผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายชื่อนาย "เต้นท์รถ" โดยนายเต้นท์รถบอกกับดิฉันว่ารู้จักสนิทสนมกันดีกับเจ้าของรถคันนี้เขาฝาก ขายเพื่อจะซื้อรถคันใหม่ ดิฉันจึงตกลงซื้อ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ให้วางดาวน์ก่อน 100,000 บาท และผ่อนชำระกับบริษัทสยามพาณิชย์ลิสซิ่งจำกัด อีก 4 งวด งวดละ 7,407 บาท ต่อจากนั้นให้ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมดภายในวันที่ 10 ก.ย. 47 ซึ่งดิฉันได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกประการ

ดิฉันชำระค่างวดตรงตามกำหนดทุกเดือน โดยตลอด และในวันที่ 3 ก.ย. 47 ดิฉันได้นำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด คือ 162,954 บาท เพื่อไปชำระให้หมดเพราะอยากจะโอนรถเร็ว ๆ หลังจากที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว นายเต้นท์รถบอกว่า จะจัดการโอนรถให้เรียบร้อยภายใน 1 อาทิตย์

เมื่อครบกำหนดตามที่นัดไว้ นายเต้นท์รถโทรศัพท์มาขอเลื่อนวันโอนรถ โดยบอกว่า นายเช่าซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมเซ็นต์เอกสารมอบฉันทะผิด ต้องเอาไปให้เซ็นต์ใหม่ ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร ผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปถามนายเต้นท์รถอีก คราวนี้นายเต้นท์รถบอกว่า มีปัญหากับไฟแนนซ์ โดยทางบริษัทบอกว่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันได้นำเอกสารไปยืนยันว่า ไม่เคยค้างจ่ายก่อนกำหนดด้วยซ้ำไป นายเต็นท์รถก็พูดในทำนองจะขอเงินเพิ่ม อ้างว่าขาดทุนเพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนว่าเจ้าของเก่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันไม่ยอมเพราะเห็นว่ากำลังถูกเอาเปรียบ นายเต้นท์รถจึงขอเวลาบอกว่า ขอคุยกับไฟแนนท์อีกรอบว่า ค่างวดชำระค้างที่ใครกันแน่ ตอนนี้ดิฉันเริ่มสงสัยเพราะถูกเลื่อนนัดถึง 2ครั้ง จึงเรียนปรึกษาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าควรดำเนินการอย่างไรดี"

กรณีตัวอย่างนี้เป็นปัญหายอดฮิดที่ ทางศูนย์ได้รับคำปรึกษาบ่อย ๆ หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะซื้อรถมือสองซึ่งผู้เขียนก็มีความเชื่อว่ารถมือสอง ดี ๆ มีถมไป คนขายดี ๆ ก็มีถมไป ที่สำคัญประหยัดเงินได้หลายแสนบาท แต่คุณต้องรอบคอบหาผู้รู้หาที่ปรึกษา เชื่อเถอะว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดีฉะนั้นเราต้องรอบคอบให้มาก ๆ สำหรับกรณีข้างต้น ตอนนี้นายเต้นท์รถเขาก็ได้รับกรรมของเขาแล้วเขาก็คงสำนึกบ้างล่ะนะ

6. มีรถแล้วอย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์

ลองดูกรณีนี้กัน "น้านิลคนรู้จักของผู้เขียนได้ซื้อรถกระบะมาคันหนึ่ง อายุรถคันดังกล่าวของแกก็ประมาณ 7 ปี สภาพรถ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่า เป็นรถที่พร้อมใช้งาน ทุก ๆ วัน แกก็ใช้ขับในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหนไกลมาก จนมาวันหนึ่งคราวซวยมาเยือน แกขับรถไปชนรถเบ็นซ์เข้า กรณีนี้แกไม่ได้ตั้งใจเผอิญมีหมาน้อยวิ่งตัดผ่านหน้ารถทำให้ต้องหักหลบ ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยของรถเบ็นซ์คู่กรณี ส่งใบเรียกเก็บค่าเสียหายจากแกเป็นเงิน 100,300 บาท (หนึ่งแสนสามร้อยบาทถ้วน) แกส่งเสียงอ่อย ๆ มาปรึกษาว่า แกต้องจ่ายไหม คำตอบคือ ต้องจ่ายเพราะแกเป็นคนผิดสำหรับกรณีนี้"

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมซื้อรถต้องมีประกันภัยรถด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่า รถหนึ่งคันที่เราซื้อมาจะก่อปัญหาอะไรให้กับเราในอนาคต จะไปชนไปเสียอย่างไรบ้าง ถ้าเรามีแต่ปัญญาซื้อ แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรตามมาบ้าง เราก็อาจเป็นอย่างน้านิล แต่ถ้าหากเราได้ทำประกันภัยรถยนต์ไว้ หากเรามีปัญหาอย่างน้าเราไม่ต้องทำอะไรแต่จะเป็นภาระของบริษัทประกันภัยไป คุยกันเอง

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ขับรถให้"เก่ง"...ไม่ง่ายเลย

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นวันเกิดของข้าพเจ้า และของขวัญที่ข้าพเจ้าได้จากพ่อและแม่

ของข้าพเจ้าคือ รถยนต์คันปัจจุบันของข้าพเจ้า เพื่อมาทดแทนรถจักรยานยนต์ที่เพิ่งหายไป โดยตอนที่ได้

รถคันนี้มา ข้าพเจ้ายังขับรถยนต์ไม่เป็นด้วยซ้ำ





ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องหัดขับรถ โดยมีพ่อของข้าพเจ้าเป็นผู้สอนให้

วิธีการสอนของพ่อก็คือ นั่งข้างๆแล้วบอกให้ข้าพเจ้าขับไปเลย ถ้ามีอะไรก็เหยียบเบรค กาารขับรถครั้ง

แรกของข้าพเจ้าจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล อาจเป็นเพราะข้าพเจ้ารู้สึกกดดันจากพ่อที่นั่งมองดูการขับของ

ข้าพเจ้าอยู่ข้างๆ รวมถึงรถที่ข้าพเจ้าใช้ฝึกก็ยังใหม่อยู่ และเป็นรถยนต์คันแรกของข้าพเจ้าอีกด้วย



ข้าพเจ้าฝึกขับทุกๆวัน โดยข้าพเจ้าจะเป็นคนขับทุกครั้งที่มีการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ทางใกล้ เช่น ไป

ทานอาหารนอกบ้าน หรือทางไกล เช่น ไปต่างจังหวัด



พอหัดขับได้ประมาณหนึ่งเดือน ข้าพเจ้าก็ไปสอบใบขับขี่ ในการสอบจะต้องสอบ 2 ตอน คือ ภาค

ทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ซึ่งข้าพเจ้าก็สามารถผ่านมาได้อย่างไม่ลำบากนัก


ตลอดระยะเวลา 5 เดือนระหว่างช่วงปิดเทอมทำให้ข้าพเจ้าได้สั่งสมประสบการณ์มากพอสมควร และ

ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ หรือแม้แต่เฉี่ยวชนเล็กๆน้อยๆเลย


พอเปิดเทอม เป็นเวลาที่ข้าพเจ้าต้องนำประสบการณ์ทั้งหมดมาใช้จริงๆ คือจะต้องมาอยู่หอพักที่

ขอนแก่น แรกๆก็ดูเหมือนจะดี แต่พอผ่านไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนำรถเข้าจอด รถ

ของข้าพเจ้าก็ไปขูดกับเสา เป็นแผลถลอก ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะเสียดายที่รถถลอก
อาทิตย์ต่อมา ข้าพเจ้าก็พบรอยถลอกอีกรอย โดยไม่รู้ว่าถลอกตั้งแต่เมื่อไหร่ คาดว่าน่าจะเป็นรถ

จักรยานยนต์ที่มาเฉี่ยวตอนที่ข้าพเจ้าจอดรถไว้ ข้าพเจ้าหัวเสียมากเพราะเสียดายที่รถถลอกอีกเช่นเคย

ข้าพเจ้าโทรบอกพ่อว่าจะเอารถเข้าศูนย์ พ่อข้าพเจ้าบอกว่าอีก 2 อาทิตย์จะจัดการให้

แต่อาทิตย์ต่อมา ขณะที่กำลังถอยรถออกจากที่จอด รถก็ไปขูดกับเสา(ต้นเตี้ยๆ)อีก เพราะมองไม่เห็น
เป็นแผลค่อนข้างใหญ่(สาหัส --*) แต่คราวนี้ ข้าพเจ้าไม่ตกใจหรือหัวเสียอีกแล้ว อาจเป็นเพราะ

ข้าพเจ้าคงจะชินจากการเฉี่ยวชนบ่อยครั้ง พ่อบอกข้าพเจ้าว่า"ถ้าขับรถแล้วไม่เคยชนอะไรเลย...ก็คงไม่มี

วันเก่งหรอก คนที่ขับเก่งๆ ส่วนใหญ่ก็ต้องเคยเฉี่ยวเคยชนกันทั้งนั้น" แถมยังแอบแซวข้าพเจ้าอีกว่า"ส่วน

เรื่องเอารถเข้าศูนย์ ไว้สิ้นปีค่อยเอาไปทำครั้งเดียว เพราะพอถึงตอนนั้นคงได้อีกหลายแผล รอบคันเลยล่ะ"



แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น มาจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลา 2 เดือนกว่าๆแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ขับไป

เฉี่ยวหรือชนอะไรอีกเลย



อาจเป็นเพราะจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าเคยขับรถไปเฉี่ยวเสาถึง 2 ครั้ง ทำให้ข้าพเจ้าขับรถอย่าง

ระมัดระวังมากขึ้น และจากการที่มีรถจักรยานยนต์มาเฉี่ยวรถของข้าพเจ้า ก็ทำให้ข้าพเจ้าจอดรถอย่าง

รอบคอบ ระมัดระวังกว่าเดิม

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เมื่อคิดจะซื้อรถต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

คนเรามีเหตุผลร้อยแปดประการถ้าอยากจะ มีรถสักคัน แม้รู้ว่าการมีรถเป็นเรื่องสิ้นเปลือง บางคนความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกไม่มีในหัว แค่ขับเป็นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะซื้อรถมาใช้สักคัน



"ทำไมจะมีไม่ได้ มีแล้วสะดวกไปไหนมาไหนไม่ต้องลำบากใช้รถเมล์ แท็กซี่"

"โหพี่ โก้จะตายรถรุ่นนี้ใครมี เท่โคตร ๆ "

"มันจำเป็น บ้านไกลที่ทำงาน ทางก็เปลี่ยวกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่มีรถจะทำอย่างไร"

"อาชีพผมมันจำเป็น ไม่มีรถก็ไม่สะดวก ติดต่อลูกค้าลำบาก"

ฯลฯ

ว่ากันไปได้เรื่อย ๆ ถ้าคนอยากจะได้อะไรสักอย่าง แต่การซื้อรถไม่ใช่ว่าร้อยหรือพันบาท ถ้าพร้อมสู้ราคาเรือนแสนเรือนล้านและคิดว่ามีปัญญาหามาจ่ายไฟแนนซ์ได้โดยไม่ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร เชิญตามอัธยาศัย แต่ที่ต้องมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะว่า ทุกวันนี้กรณีร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายรูปแบบ จึงอยากจะนำเอาประสบการณ์ของคนเหล่านี้มาถ่ายทอดเพื่อเป็นข้อเตือนใจสำหรับ คนที่คิดจะมีรถ หรือมีรถอยู่แล้วแต่ยังไม่เจอปัญหาอะไรให้ได้ตระหนักไว้ โดยจะว่าเป็นตอน ๆ ไป

โอกาสครั้งแรกนี้ขอเสนอด้วยเรื่อง ความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้รถก่อน

1.อย่าเชื่อคำโฆษณา

เพราะคุณจะผิดหวัง โฆษณาจะให้ข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ สิ่งที่นำมากล่าวในโฆษณามีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น

2.การเลือกใช้เครื่องยนต์

คุณใช้รถในเมืองหรือใช้รถเพื่อเดิน ทางไปมาระหว่างจังหวัด รถที่คุณต้องการนั้นต้องมีการบรรทุกสิ่งของด้วยหรือไม่ นั่งคนเดียวหรือแค่นั่งไปกับหมาตัวโปรดเพื่อชมวิวทิวทัศน์ คำถามเหล่านี้ต้องตอบให้กระจ่างใจเพื่อจะได้เลือกขนาดของเครื่องยนต์ให้ เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะยุคนายกทักษิณที่ค่าบริการน้ำมันแพงหูฉี่นี้ หากคุณใช้รถในเมืองที่การจราจรติดขัดเสียเหลือเกิน รถต้องหยุดต้องออกตัวบ่อย ๆ และก็ไม่ได้ต้องบรรทุกข้าวของอะไร ขนาดของเครื่องยนต์เพียงแค่ 1300 ซีซี น่าจะเพียงพอแล้ว หรือเลือกรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ

3.การซื้อรถใหม่หรือรถเก่า (มันมีปัญหาทั้งคู่แหละ)

สิ่งที่คุณต้องดูหากเป็นรถใหม่ คือชื่อเสียงของบริษัทรถยนต์ที่ต้องการซื้อ ตรวจสอบดูว่ามีการร้องเรียนปัญหาเรื่องรถบ่อยแค่ไหน ส่วนมากเป็นเรื่องอะไร ศูนย์บริการมีมากพอไหมและมีคุณภาพหรือไม่ การให้สัญญาหรือการรับประกันหลังการขายเป็นอย่างไร การแสดงความรับผิดชอบกับผู้บริโภค พวกนี้จะเป็นตัวตัดสินใจที่สำคัญ นอกเหนือไปจากเรื่องราคาที่เหมาะสมและรถที่อยู่ในความตั้งใจซื้อของคุณ

รถมือสองหรือรถเก่า เรื่องคุณภาพต้องดูให้มากกว่ารถมือ 1 สักหน่อยเพราะรถเคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมมีการเสื่อมสภาพลงไป เพราะฉะนั้นต้องดูเครื่องยนต์ว่ามีการยกเครื่องใหม่หรือยัง การใช้งานมีลักษณะปกติไหม ทางที่ดีมีที่ปรึกษาเรื่องรถไว้ช่วยคุณดูด้วยสักคนก็จะดีมาก ๆ

4.ตรวจดูเงินในกระเป๋าสตางค์

ความมั่นคงทางการเงินของคุณเป็นอย่าง ไร ว่าไปสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมากสุด คือรถโดนยึด การถูกเอาเปรียบจากไฟแนนซ์ เพราะปัจจุบันรถยนต์ใหม่ป้ายแดงบางยี่ห้อไม่ต้องมีเงินดาวน์ก็สามารถถอยออก มาขับได้ คือค่อยผ่อนตามหลังได้นานถึง 60 เดือน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะแม้แต่เงินดาวน์ยังไม่มี ต่อไปจะผ่อนไหวหรือ พอถึงเวลานั้นรถโดนยึด ตามมาด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีความกับบริษัท และไม่เพียงเดือดร้อนแค่คนซื้อ โชคร้ายพลอยส่งอานิสงค์สู่ผู้ค้ำประกันด้วย

5. ซื้อรถมือสองเงินผ่อน ถามผู้รู้ก่อนน่าจะดี

ขอยกตัวอย่างกรณีร้องเรียน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2547 มีผู้บริโภครายหนึ่ง เขียนจดหมายมาว่า "ดิฉันได้ซื้อรถยนต์มือสองมาจากเต็นท์แหล่งรถจังหวัด.... เจ้าของเดิมชื่อนาย "เช่าซื้อ" ผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายชื่อนาย "เต้นท์รถ" โดยนายเต้นท์รถบอกกับดิฉันว่ารู้จักสนิทสนมกันดีกับเจ้าของรถคันนี้เขาฝาก ขายเพื่อจะซื้อรถคันใหม่ ดิฉันจึงตกลงซื้อ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ให้วางดาวน์ก่อน 100,000 บาท และผ่อนชำระกับบริษัทสยามพาณิชย์ลิสซิ่งจำกัด อีก 4 งวด งวดละ 7,407 บาท ต่อจากนั้นให้ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมดภายในวันที่ 10 ก.ย. 47 ซึ่งดิฉันได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกประการ

ดิฉันชำระค่างวดตรงตามกำหนดทุกเดือน โดยตลอด และในวันที่ 3 ก.ย. 47 ดิฉันได้นำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด คือ 162,954 บาท เพื่อไปชำระให้หมดเพราะอยากจะโอนรถเร็ว ๆ หลังจากที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว นายเต้นท์รถบอกว่า จะจัดการโอนรถให้เรียบร้อยภายใน 1 อาทิตย์

เมื่อครบกำหนดตามที่นัดไว้ นายเต้นท์รถโทรศัพท์มาขอเลื่อนวันโอนรถ โดยบอกว่า นายเช่าซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมเซ็นต์เอกสารมอบฉันทะผิด ต้องเอาไปให้เซ็นต์ใหม่ ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร ผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปถามนายเต้นท์รถอีก คราวนี้นายเต้นท์รถบอกว่า มีปัญหากับไฟแนนซ์ โดยทางบริษัทบอกว่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันได้นำเอกสารไปยืนยันว่า ไม่เคยค้างจ่ายก่อนกำหนดด้วยซ้ำไป นายเต็นท์รถก็พูดในทำนองจะขอเงินเพิ่ม อ้างว่าขาดทุนเพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนว่าเจ้าของเก่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันไม่ยอมเพราะเห็นว่ากำลังถูกเอาเปรียบ นายเต้นท์รถจึงขอเวลาบอกว่า ขอคุยกับไฟแนนท์อีกรอบว่า ค่างวดชำระค้างที่ใครกันแน่ ตอนนี้ดิฉันเริ่มสงสัยเพราะถูกเลื่อนนัดถึง 2ครั้ง จึงเรียนปรึกษาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าควรดำเนินการอย่างไรดี"

กรณีตัวอย่างนี้เป็นปัญหายอดฮิดที่ ทางศูนย์ได้รับคำปรึกษาบ่อย ๆ หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะซื้อรถมือสองซึ่งผู้เขียนก็มีความเชื่อว่ารถมือสอง ดี ๆ มีถมไป คนขายดี ๆ ก็มีถมไป ที่สำคัญประหยัดเงินได้หลายแสนบาท แต่คุณต้องรอบคอบหาผู้รู้หาที่ปรึกษา เชื่อเถอะว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดีฉะนั้นเราต้องรอบคอบให้มาก ๆ สำหรับกรณีข้างต้น ตอนนี้นายเต้นท์รถเขาก็ได้รับกรรมของเขาแล้วเขาก็คงสำนึกบ้างล่ะนะ

6. มีรถแล้วอย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์

ลองดูกรณีนี้กัน "น้านิลคนรู้จักของผู้เขียนได้ซื้อรถกระบะมาคันหนึ่ง อายุรถคันดังกล่าวของแกก็ประมาณ 7 ปี สภาพรถ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่า เป็นรถที่พร้อมใช้งาน ทุก ๆ วัน แกก็ใช้ขับในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหนไกลมาก จนมาวันหนึ่งคราวซวยมาเยือน แกขับรถไปชนรถเบ็นซ์เข้า กรณีนี้แกไม่ได้ตั้งใจเผอิญมีหมาน้อยวิ่งตัดผ่านหน้ารถทำให้ต้องหักหลบ ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยของรถเบ็นซ์คู่กรณี ส่งใบเรียกเก็บค่าเสียหายจากแกเป็นเงิน 100,300 บาท (หนึ่งแสนสามร้อยบาทถ้วน) แกส่งเสียงอ่อย ๆ มาปรึกษาว่า แกต้องจ่ายไหม คำตอบคือ ต้องจ่ายเพราะแกเป็นคนผิดสำหรับกรณีนี้"

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมซื้อรถต้องมีประกันภัยรถด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่า รถหนึ่งคันที่เราซื้อมาจะก่อปัญหาอะไรให้กับเราในอนาคต จะไปชนไปเสียอย่างไรบ้าง ถ้าเรามีแต่ปัญญาซื้อ แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรตามมาบ้าง เราก็อาจเป็นอย่างน้านิล แต่ถ้าหากเราได้ทำประกันภัยรถยนต์ไว้ หากเรามีปัญหาอย่างน้าเราไม่ต้องทำอะไรแต่จะเป็นภาระของบริษัทประกันภัยไป คุยกันเอง

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการซื้อ-ขายรถมือสอง

ผู้ซื้อ
การเลือกซื้อรถ




1. ดูลักษณะการใช้งาน เพื่อเลือกประเภทรถที่จะซื้อ
2 ตั้งงบประมาณ
3. เช็คราคารถ โดยเลือกรถจากองค์ประกอบของ 1 และ 2
4. ศึกษาข้อมูลต่างๆของรถรุ่นนั้นๆ เพื่อที่จะได้ตัดสินใจในการซื้อ ทั้งเรื่องการดูแลรักษา อะไหล่ อัตราการสิ้นเปลือง
5. หาแหล่งที่จะซื้อรถ ซึ่งมีทั้งรถบ้าน และรถเต็นท์ โดยดูทั้งจากสื่อต่างๆ สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต
6. ศึกษาวิธีการดูรถ หรือถ้าจะไปดูรถควรให้ผู้ชำนาญไปช่วยดู
7. เช็คเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อมที่จะทำการโอนกรรมสิทธิ์

การตรวจสอบรถบ้านเบื้องต้น
มีผู้ซื้อบางท่านที่ต้องการซื้อรถบ้านที่เจ้าของขายเอง ซึ่งผู้ซื้อสามารถตรวจสอบด้วยตนเองเบื้องต้นได้ง่ายๆ เช่น ขอดูเอกสารการครอบครอง (เล่มทะเบียน ) ควบคู่กับ บัตรที่ทางราชการออกให้ตัวจริง (บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ ฯ ) ดูว่าชื่อตรงกัน หรือไม่ มีการครองครอง เกิน 4 เดือน
หากผู้ขายมีการโอนลอยไว้ก่อน แต่ผู้ขายมีชื่อสกุลเดียวกัน หรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้ครอบครองคนสุดท้าย ก็ถือได้ว่า เป็นรถบ้านเจ้าของขายเองเช่นกัน

การตรวจสภาพรถเบื้องต้นด้วยตนเอง


1.ภายนอก
1.1 ดูโครงสร้างของรถโดยรวม ได้สัดส่วนที่ควรจะเป็นหรือไม่มีการบิดเบี้ยวคดงอจากการเกิดอุบัติเหตุ
1.2 รถที่ผ่านการเกิดอุบัติเหตุและนำมาซ่อม อาจสังเกตได้ หลายๆวิธี เช่นลองเคาะที่ส่วนตัวถังรอบๆคันโดยการฟังเสียงว่ามีความโปร่งใสเท่ากันหรือ ไม่ ส่วนที่เคยทำสีจะมีเสียงทึบๆ แต่ถ้ามีการเปลี่ยนทั้งชิ้นวิธีนี้คงจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร
1.3 เช็คตามขอบกระจกขอบประตู ว่ามีการบิดงอหรือไม่ รวมถึงส่วนที่เป็นขอบยางต่าง ๆ
1.4 ดูสีรถว่าตรงกับสมุดทะเบียนหรือไม่ อาจมีปัญหาในการโอนได้
1.5 ช่วงล่าง เช็คว่ามีสนิมหรือผุบ้างไหมถ้ามีรถคันนั้นถ้านำไปใช้ ช่วงล่างน่าจะมีปัญหา
2.ภายใน
2.1 ตรวจสอบอุปกรณ์ภายในรถว่ายังใช้งานได้ปรกติ
2.2 สังเกตอุปกรณ์ต่างๆว่า ลักษณะที่เป็นเหมาะสมกับการใช้งานหรือเปล่าเช่น ถ้าคันเร่งหรือคลัทช์สึกแต่เลขไมล์น้อย อย่างผิดสังเกต อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการกลับเลขไมล์
2.3 เช็คห้องโดยสารภายในโดยดูตามตะเข็บว่า ต่างๆว่าเป็นแนวเรียบหรือไม่ อาจเปิดดูตามพรมถ้าเป็นไปได้
2.4 บริเวณห้องเก็บของท้ายรถ ตรวจดูตามตะเข็บ ต้องมีความสมบูรณ์แนวตะเข็บต้องเรียบเนียน
2.5 ตรวจเช็คยางอะไหล่ และเครื่องมือต่างๆว่ามีครบหรือไม่ทั้ง แม่แรง ประแจต่างๆ
2.6 ระบบแอร์ไม่ควรมีเสียงดังของพัดลมและคอมเพรสเซอร์

3.เครื่องยนต์
3.1 ตัวเครื่องยังเป็นเครื่องเดิมๆหรือไม่ ไม่ควรมีการดัดแปลงเครื่องยนต์
3.2 เมื่อสตาร์ทรถ เครื่องต้องเงียบไม่มีเสียงกุกกัก
3.3 เปิดดูเมื่อสตาร์ทรถแล้วมีไอของน้ำมันเครื่องหรือไม่ ถ้ามีเครื่องอาจจะหลวมแล้ว
3.4 ต้องไม่มีรอยรั่วของน้ำและน้ำมันในจุดต่างๆ เช่น หม้อน้ำ น้ำมันหล่อลื่นที่จุดต่างๆ
3.5 เช็คแบตเตอรี่ ถ้าเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วทำงานช้าผิดปกติ หมายถึงแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม
4.ทดลองขับ
4.1 ระดับความร้อนจากมาตรวัดไม่ควรร้อนจนเกินไป
4.2 เมื่อใช้ความเร็วต้องไม่มีเสียงลมเข้า
4.3 เมื่อใช้ความเร็วสูงจะต้องไม่มีการโคลงหรือส่าย
4.4 ทดสอบระบบเบรกที่ความเร็วหลายๆระดับ
4.5 ขณะขับขี่เครื่องยนต์ไม่ควรมีเสียงดังจนเกินปรกติ
4.6 เมื่อมีการเปลี่ยนเกียร์ต้อง ไม่มีเสียงดังหรือกระตุก
5.ประวัติ
5.1 ตรวจสอบประวัติจากประกัน หรือ สมุดคู่มือบริการ
5.2 ตรวจสอบหมายเลขเครื่องกับขนส่งโดยว่ารถที่เราสนใจมีปัญหาหรือไม่ ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ใช้รถที่มีการแจ้งความว่าหาย

สิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นในการขอสินเชื่อ

1.สำเนาบัตรประชาชน
2.สำเนาทะเบียนบ้าน
3.หนังสือรับรองการทำงาน จากบริษัท ที่ทำงานอยู่ หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
4.สำเนาสมุดบันทึกเงินฝากย้อนหลัง อย่างต่ำ 6 เดือน
5.บุคคลค้ำประกัน พร้อมเอกสารเหมือนผู้ขอสินเชื่อ

หมายเหตุ กรณีที่ต้องขอสินเชื่อ ควรติดต่อบริษัทสินเชื่อ สอบถามและส่งเอกสารประเมินคุณสมบัติของผู้สินเชื่อก่อน เพื่อที่จะได้ทราบว่า จะได้วงเงินสำหรับซื้อรถในช่วงราคาไหน อัตราดอกเบี้ยที่ต้องเสีย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ทำให้การซื้อรถที่ถูกใจรวดเร็วขึ้น รถดีราคาถูก คนสนใจจะซื้อมีจำนวนมาก โอกาสที่จะเจอไม่ได้มีบ่อยๆ

เทคนิคการซื้อ-ขายรถมือสอง

ผู้ขาย

การตั้งราคา

1.สืบราคาของรถ โดยอาจดูจากสื่อ สิ่งพิมพ์ หรือสื่อ ทาง internet ซึ่งสามารถนำมาจุดเริ่มในการตั้งราคา ซึ่งสื่อบางสื่อจะมีการวิเคราะห์หรือบอกราคาตั้งของรถรุ่นนั้นๆ ปีนั้น ซึ่งจะได้ราคาที่มีการซื้อขายกันในท้องตลาด โดยราคานี้เรียกว่า ราคาตลาด (โดยปกติ ราคานี้จะมีค่าใช้จ่ายของคนกลางรวมอยู่ด้วย )
2.ประเมินสภาพรถและปัจจัยอื่น โดยอาจดูความสมบูรณ์ของรถ อุปกรณ์เสริม ความเร่งด่วนในการแลกเปลี่ยนรถ (อาจเป็นการเปลี่ยนรถเป็นรถ หรือรถเป็นเงิน)
3 ลองให้เต็นท์ ตีราคา รถที่จะขาย เป็นราคา เต็นท์รับซื้อเข้า
4.สรุปราคาโดยนำปัจจัยต่างๆมา โดยราคาควรจะอยู่ระหว่าง ราคาตลาด กับราคา เต็นท์รับซื้อเข้า

การเตรียมตัวก่อนขาย

1.เตรียมใจที่จะขาย
2.เตรียมรถ
2.1 ทำความสะอาดทั้งภายนอก ภายใน และห้องเครื่อง
2.2 ตกแต่งหรือเปลี่ยนชิ้นส่วน (สร้างมูลค่าเพิ่ม)
2.3 ในส่วนของอุปกรณ์ตกแต่งติดรถ หากไม่ต้องการแถมควรถอดออกจะได้ไม่มีปัญหา
เมื่อได้ทำการตกลงราคาเรียบร้อยแล้ว
3.เตรียมเอกสารให้ครบ

เอกสาร

1.สัญญาจะซื้อจะขาย (หรือสัญญามัดจำ)
2.สัญญาการซื้อขาย (หรือสัญญาส่งมอบ)
3.สำเนาบัตรประชาชน
4.สมุดทะเบียน
5.ใบโอนรถ และใบมอบอำนาจ

วิธีขาย

1. ขายผ่านเต็นท์ สะดวกไม่ต้องติดต่อผู้ซื้อหลายคน แต่ ได้ราคาไม่ดีมาก
2. ประกาศขายเอง
2.1 ติดป้ายที่หน้ารถและท้ายรถ พร้อมเบอร์ติดต่อ
2.2 ประกาศขายตามสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งตามสื่อจะมีทั้งลงประกาศฟรีและเสียค่าใช้จ่าย แล้วแต่เลือก
2.3 ประกาศขายทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งขณะนี้มีทั้งประกาศแบบกระทู้และแบบ search engine
3. นำรถคันเก่าไปแลกเปลี่ยนเป็นรถคันใหม่
3.1 เทิรฺ์นกับเต็นท์
3.2 เทิร์นกับโชว์รูมรถ
4. ประมูลผ่านสถาบันที่ให้บริการด้านการประมูลรถยนต์

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

ขั้นตอนการซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดง

รถยนต์เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนอยากจะมีไว้ใช้ แต่ทว่าราคาของมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บางคนเก็บเงินหลายปีกว่าจะซื้อได้ ดังนั้น เราควรจะต้องมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ไม่ควรรีบร้อน ผมเป็นคนหนึ่งที่ซื้อรถยนต์ป้ายแดงครั้งแรก มันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เจอหลายๆอย่างจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนได้รถอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เริ่มต้นเลยนะครับ



1. การเลือกรถที่คุณต้องการ ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นหรือถามผู้รู้และความต้องการของเรา ว่าเราขอบอะไร เพื่ออะไร

* ยี่ห้อรถยนต์ เข้าเวบของยี่ห้อนั้นดูข้อมูล เรื่องการให้บริการ ศูนย์บริการ ข่าวไม่ดีต่างๆ
* รุ่นรถ รุ่นที่เราชอบ option ต่างๆ ของแต่ละรุ่น ความจำเป็นในการใช้งาน
* สีรถ สีที่ชอบและดวงตามความเชื่อ เดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาติดสติกเกอร์รถสีต่างๆเพิ่มอีก
* ราคา เราควรประเมินตัวเราเองว่า เราสามารถจ่ายได้ขนาดไหน เมื่อซื้อรถจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า อย่าฟังคนอื่นมาก ฟังหูไว้หู เพราะยังไงเวลาเรามีปัญาเรื่องการเงินคงไม่มีใครมาช่วยจ่าย

2. การเลือกศูนย์บริการที่คุณต้องการเข้าไปซื้อรถ ควรเลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้นะครับ เพราะเราต้องอยู่กับศูนย์นั้นหลายปีทีเดียว ขอย้ำว่าหลายปี หากเลือกผิดเราจะช้ำใจไปเลยครับ และจะทำอะไรเกี่ยวกับรถก็ลำบากไปหมด เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นศูนย์ที่เราต้องการ ลองพิจารณาตามนี้ดูนะครับ

* เป็นตัวแทนจากยี่ห้อรถยนต์ที่เราต้องการจะซื้อ
* ประวัติ ของศูนย์ครับ ต้องถามข้อมูลจากคนรอบข้างที่เคยไปใช้บริการ หรือข่าวลือต่างๆ ครับ บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนพระเจ้า บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนขอทาน บางศูนย์เจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพล (เวลาเรามีปัญหาหลังจากซื้อรถไป เซลแมนจะเอามาขู่เราด้วย) เลือก ศูนย์ที่มีประวัติดีนะครับ มีคนชมมากกว่าคนด่า ต่อให้ตั้งศูนย์ใหม่แต่เจ้าของคนเดิม ทีมงานเดิม การบริการก็ยังห่วยเหมือนเดิมครับ
* ศูนย์บริการใกล้บ้านครับ สะดวกต่อการติดต่อ ประหยัดน้ำมัน

3. การเลือกเซลแมน ขั้นตอนนี้สำคัญมากกว่าการเลือกศูนย์บริการนะครับ เพราะหากเจอเซลที่ดี เซลจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องรถที่ดีสำหรับคุณที่เดียวและคุณจะได้รถตาม ที่คุณหวัง แต่หากเจอเซลแย่คุณจะโดนโกงสารพัดวิธีที่เดียว เซลแมนคือที่คอยให้คำแนะนำเรื่องรถ ทำสัญญา เตรียมรถให้เรา แต่ที่สำคัญที่สุด เค้าจะต้องขายรถให้เราเพื่อทำกำไรให้ทางบริษัท และค่าคอมมิสชัน กำไรจากส่วนอื่นๆ ที่เราพลาดเผลอไปยอมรับโดยไม่ระวังซึ่งสำคัญกว่าบริการเราซะอีก แล้วเราจะเลือกยังไง

* ถ้าเซลเป็นญาติพี่น้องที่ดีต่อเรา จะดีมากเค้าคงเลือกสิ่งดีๆให้พี่น้องกันโดยไม่หวังผลกำไรมากอยู่แล้ว
* เพื่อนพี่น้อง แนะนำเซลให้ แสดงว่าคนคนนั้นเคยใช้บริการมาแล้ว เซลคงรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีทุกคน
* ใช้น้ำเสียงการให้บริการฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากฟังแล้วขัดหูหรือไม่สบายใจเปลี่ยนคนเถอะ
* ขั้นตอนการอธิบายรถ อธิบายแล้วเราเข้าใจ ถามอะไรสามารถตอบได้
* อย่าเลือกเพียงเพราะหน้าตา หรือเพราะพูดเพราะ ให้จำสุภาษิตนี้ไว้เลยครับ หน้าเนื้อใจเสือปากหวานก้นเปรี้ยว การเลือกเซลแมน

4. เรื่องของแถม ดูสิว่าเซลให้ของแถมไรเราบ้าง เช่น

* น้ำมันเต็มถัง
* ส่วนลดเงินสด
* เบาะหนัง
* ฟิล์มรอบคัน ยี้ห้ออะไร ประกันกี่ปี ติดรุ่นไหนได้บ้าง ราคาที่ติดได้เท่าไร ติดที่ไหน
* เคลือบสี+กันสนิม ทำฟรีทุกครั้ง หรือเสียตังค์แต่ละครั้งเท่าไร
* ประกันภัยชั้น 1 ฟรีหรือเปล่า
* Sensor ถอยหลัง 2 หรือ 4 จุด ไม่ได้ติดจากโรงงาน ต้องถามว่าซื้อของอะไร ติดตั้งที่ไหน รับประกันกี่ปี ซ่อมที่ไหน
* อุปกรณ์ แต่งรถ เช่น สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ต้องถามว่าซื้อของอะไร ของศูนย์ ของร้าน หรือของแท้ ติดตั้งที่ไหน ส่วนใหญ่เค้าจะแถมของที่ซื้อจากร้าน
* ของ อื่นๆ เช่น ผ้าคลุมรถ หมอนผ้าห่ม พรมปูพื้น สายรองเบลท์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ผ้ายางปูพื้น ถาดหลังกันเปื้อน น้ำหอม ชุดทำความสะอาด ที่ล๊อคพวกมาลัย หมอนผ้าห่ม ม่านบังแดด ฯลฯ ผมได้ครบเกือบทุกอย่างตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ทำไมเค้าถึงให้ผมเยอะขนาดนี้ มันมีเหตุครับ รับรองเซลเค้าได้มากกว่าที่เสียให้ผม

5. ถามเรื่องประกันภัยชั้น 1 ที่ เค้าให้เรานะครับ ไม่ว่าจะแถมให้ฟรี หรือเราเสียตังค์เอง มันมีส่วนสำคัญมากครับ และรถใหม่ทุกคันที่ผ่อนจะต้องทำครับ เราควรจะถามข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับประกันจากเซล หากเซลตอบไม่ได้ หรือเราไม่เข้าใจ ก็อย่าเพิ่งจองนะครับ ให้เราเข้าใจก่อนเกี่ยวกับประกันสำคัญมากครับ ให้เราเข้าใจก่อน สิ่งที่เราควรรู้นะครับ

* เป็นของบริษัทอะไร น่าเชื่อถือหรือเปล่า ใกล้เจ้งไหม
* บริษัทประกันนั้นมีข่าวไม่ดีจากลูกค้าหรือเปล่า เช่น บริการไม่ดี บริการช้า
* ซ่อมศูนย์ หรือซ๋อมอู่ ถึงจะเป็นประกันชั้น 1 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถซ่อมได้ทุกที่ เพราะราคาการซ่อมที่ประกันสามารถจ่ายได้บางศูนย์หรือบางอู่ก็รับไม่ได้ อย่างกรณีผม มีศูนย์ยี่ห้อ A 2 ที่ แถวบ้าน แต่ที่หนึ่งรับเคลมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่อีกที่เมื่อไปเคลมจะมีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มเอง แต่ศูนย์ที่รับเคลมที่ไม่มีส่วนต่างรอคิวซ่อมนานเป็นเดือนๆ เราต้องรู้ก่อนเพื่อไม่เสียความรู้สึกภายหลัง
* ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ หากรถเราเสียหายโดยไม่มีคู่กรณีเราต้องจ่ายประกันเริ่มต้น 1000 บาท แต่หากมีคู่กรณี คู่กรณีจ่ายครับซ่อมฟรี แต่เสียเวลา

6. ถามเรื่องการทำสินเชื่อ หากเราไม่ได้ซื้อเงินสด ควรถามเรื่องนี้กับเซลด้วยนะครับ เพราะเราต้องทำ สัญญาเช่าซื้อกับธนาคารนั้น สิ่งที่เราควรรู้คือ

* บริษัทหรือธนาคารอะไร
* ดอกเบี้ยเท่าไร
* จำเป็นต้องมีประกันวงเงินสินเชื่อหรือเปล่า
* ตอน นี้ก็ลองให้เซลคิดเรื่องเงินเรื่องทองให้ดูเลยนะครับ ว่ามีค่าใช้จ่ายวันรับรถอะไรบ้าง โดยของผมทั้งหมดมันจะมีตามข้างล่าง เงินที่เราจะทำสัญญาเช่าซื้อคือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด-เงินจอง-เงินดาวว์ ครับ

* ค่ารถยนต์รุ่นที่เราจอง
* ค่าจดทะเบียน
* ค่ามัดจำป้ายแดง
* ค่าประกันภัยชั้น 1
* พ.ร.บ.
* ค่าตกแต่ง
* ค่าประกันภัยวงเงินสินเชื่อ

7. การจองรถยนต์ ขั้น ตอนนี้เราเริ่มที่จะเสียเงินแล้วนะครับ หากเราพอใจกับตัวรถยนต์รุ่นที่เราต้องการ ของแถมที่เซลจะจัดให้ นิสัยและคำอธิบายของเซล เรื่องประกันชั้น 1 เรา ก็จองรถเลยครับ แต่หากเรายังรู้สึกลังแลก็อย่าเพิ่งจองนะครับ มันไม่ทำให้เซลเสียเวลาหรอกครับ เพราะรถที่เราจะซื้อไม่ใช่คันละบาทสองบาท ไปนอนคิดที่บ้านดีกว่าครับ คราวนี้มีคำถามว่าทำไมต้องจอง เนื่องจากรถมีราคาแพงดังนั้นหากไม่มี Order โรงงานก็จะไม่ผลิต รถมาขาย ดังนั้นเมื่อเราจองรถ เซลจะเก็บหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อไปใช้ประกอบการส่งข้อมูลให้โรงงานผลิตรถยนต์ รถที่ผลิตออกมาคันนั้นจะผลิตตามรุ่นและสี ตามที่เราจองไปทุกประการ หากทำมาแล้วไม่ตรง เรามีสิทธิที่จะไม่เอาและขอค่าจองคืนได้ มีข้อแนะนำดังนี้

* อย่าลืมขอใบเสร็จหรือสัญญาการจอง
* สัญญาการจองต้องระบุรุ่นและสีของรถที่เราต้องการให้ถูกต้อง
* สัญญาการจองต้องเขียนของแถมทุกอย่างให้ครบอย่าบอกปากเปล่า
* ตอนนี้ถามเลยครับว่ารถจะมาเมื่อไร และจะติดต่อกลับเราวันไหนระบุให้ชัดเจนเขียนลงในสัญญาเลยครับ
* หากเราละเอียดมากๆ แล้วถ้าเซลงอแง หรือแกล้งลืมๆ ไม่จด เราก็บอกไปเลยครับว่ายังไม่จอง อย่ารีบร้อนนะครับ รถไม่ใช่ถูกๆ
* หลังจากจองเสร็จก็รอ หากเซลโทรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องของแถมก็แล้วแต่เราว่ารับได้ไหม รับไม่ได้ก็ขอเงินจองคืน

8. การตรวจรับรถป้ายแดง แล้วก็ถึงเวลาที่รถเรามาถึง บางที่หากเราติดฟิล์มหรือไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เซลจะโทรให้ไปรับรถเลย แต่หากเรามีการตกแต่งที่ไม่ได้ทำมาจากโรงงาน เซลจะให้ไปดูรถและตรวจรถที่มาจาโรงงาน ยังไงก็ตามเราควรทำหารตรวจรับรถที่มาจากโรงงานก่อนเริ่มเลยนะครับ

* ควรพาผู้เชียวชาญเรื่องรถยนต์ สี และพวกจับผิดเรื่องรถยนต์เก่งๆ เพราะเรามือใหม่
* มีแบบฟอร์มการตรวจตาม link นี้เลยครับ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=53788 และควรจะค่อยตรวจที่ละขั้นอย่างละเอียด โดยให้คนที่พาไปด้วยช่วยเราดู อย่าแย่งกันดูนะครับ เดี๋ยวจะเช็คไม่ครบ อย่ากลัวว่าเราจะงี่เง่า รถราคาแพงครับ
* ขอดูเอกสารที่รถลงถึงอู่ ว่าวันที่เท่าไร ช่างตรวจรับหรือยัง เค้าจะเรียกว่าใบ Warranty Bosket ครับ หากไม่มี ค่อยมาตรวจใหม่วันหลัง
* สำคัญมาก อย่าลืมจดหมายเลขเครื่องเอาไว้ด้วยนะครับ ว่ารถคันนี้เราเช็คแล้ว
* ข้อตกลงเรื่องการติดตั้งของอื่นๆ เพิ่มเติม ของแถมตามสัญญาการจองเช่น
o ติดฟิล์ม
o สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส
o Sensor ถอยหลัง
o เบาะหนัง
* พวกนี้ต้องรอเช็คอีกรอบวันรับรถ หากติดตั้งเสร็จแล้วให้ตรวจดูความเรียบร้อยดังนี้
o ติดฟิล์ม ขอดูใบติดตั้ง ใบรับประกันเขียนถูกต้องเหรือเปล่า มีฟองอากาศหรือเปล่า
o สปอร์ ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส การติดตั้งเรียบร้อยหรือเปล่า น๊อตที่ใช้เป็นแบบไหน กันสนิมหรือเปล่า ขอบยางหารติดสวยหรือเปล่า ใช่ซิลิโคนอะไร มีรอยหรือเปล่า สีเข้ากับสีรถหรือเปล่า เนื้อละเอียดเหมือนสีรถหรือเปล่า
o Sensor ถอยหลัง ทดสอบว่าวัดการถอยหลังยังไง
o เบาะหนัง สีตามที่เราต้งการหรือเปล่า ตะเข็บ ติดเรียบเนียนหรือเปล่า

9. ทำสัญญาซื้อขาย หรือสัญญารับรถ ตราบใดที่เรายังไม่เซ็นรับรถ เราก็เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อไรก็ตามเราเซ็นรับรถแล้วและเราเอารถออกจากศูนย์ เราเหมือนยาจกทันที ก่อนเว็นควร

* รถ สวยงามอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า ใช่รุ่นที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากโรงงานอีกรุ่น มาแต่งเป็นอีกรุ่นที่เราต้องการ มันไม่สมควร
* ตรวจตามข้อ 8 อีกรอบ เอาหมายเลขเครื่องมาดูเลยครับว่าหมายเลขเดียวกับที่เราตรวจมาแล้วหรือเปล่า
* ตรวจดูการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมตามข้อ 8
* ของแถมครบหรือเปล่า ไม่ครบรอเซ็นรับวันหลัง
* น้ำมันเต็มถังหรือเปล่า
* เอกสารต่างๆครบหรือเปล่าเช่น
*
o เอกสารประกันหรือใบเสร็จ
o พ.ร.บ. หรือใบเสร็จ
o ใบเสร็จค่ามันจำป้ายแดง+สมุดคู่มือป้ายแดง
o ป้ายแดงของแท้หรือเปล่า ต้องมีตรา ขส....
o เอกสารติดตั้งฟิล์ม และรับประกันฟิล์ม
o เอกสารการรับประกันอุปกรณ์รถหรือ Warranty Bosket ที่มีชื่อเราโดยไม่มีรอยลบ ขีด เปลี่ยนแปลงข้อมูล
o คู่มือรถ
o เอกสารเซ็นต์เตรียมจดทะเบียน จะได้ป้ายขาวเมื่อไร เลือกเลขทะเบียนได้หรือเปล่า หรือต้องติดต่อกับขนส่งเอง

10. ถ้าครบทุกอย่าง ตามที่กล่าวมา ก็รับรถไปได้เลยครับ

แชร์ประสบการณ์ที่ควรระวังนะครับ

ผมมีความเชื่อว่าคนที่ทำไม่ดีมันสามารถที่จะแก้ตัวมาทำดีได้ แต่ไม่สามารถใช้กับนโยบายของศูนย์บริการ A นี้ ได้ครับ ต่อให้ทำศูนย์ใหม่หรือปรับปรุงให้ดีขนาดไหนก็ยังไม่ซื้อสัตย์กับลูกค้าอยู่ ดี เพราะเจ้าของและทีมงานเป็นชุดเดิม เรื่องมีอยู่ว่า ผมตัดสินใจจองรถวันที่ 24 ธ.ค.51 รถที่ผมจองมาจากโรงงานมาวันที่ 23 ม.ค. 52 ผม ตรวจเช็คตามขั้นตอน รถใหม่จากโรงงานจริง ไม่มีการแต่งเพิ่มแต่อย่างไร ฟิล์มก็ไม่ได้ติด ผมยอมรับรถที่ตรวจเสร็จแต่ขาดอย่างเดียวคือไม่ได้จดหมายเลขเครื่อง และผมก็ตกลงเรื่องการแต่งรถ ติดฟิล์ม ตอนแรกจะไม่แต่งแต่เซลให้ส่วนลดหลายพันจนผมยอม วันรับและเซ็นสัญญาผมก็เชื่อใจเซล คือผมรับและเอาออกมาจากศูนย์วันที่ 13 ก.พ. 52 เนื่อง จากรอตกแต่ง พอใช้ไปซักพัก ปรากฏว่าวันที่เราต้องส่งไปรษณีย์เพื่อส่งไปขอรับใบประกันฟิล์ม ปรากฏว่า ฟิล์มถูกติดตั้ง ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 51 ตกใจ เลยครับ ฟิล์มผมติดตั้งก่อนที่ผมจะจองรถซะอีก รถมาก่อนจองเป็นไปได้ยังไง จึงสืบข้อมูลได้ความว่า รถคันนี้คนที่จองท่านเดิมยกเลิกการจองไว้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 51 เป็น รถค้างสต๊อกว่างั่นเถอะ เซลจึงพยายามชักจูงให้ผมแต่งรถให้ได้ตามรถที่ค้างอยู่ ความเชื่อใจทำให้ผมได้รถคนละคันกับที่ผมเช็คไว้ เซลไม่ได้จ่ายรถพลาด เพราะเค้าตั้งใจหลอก เค้าบอกผมว่า อย่าเพิ่งเลื่อนกระจกเพราะฟิล์มเพิ่งติด พูดมาได้ ติดไว้ตั้ง 2เดือนละ หลังจากที่ผมร้องเรียนเซลขออโหสิกรรมจากผม แต่ผมติดว่า คนที่กล้าหลอกคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยรู้จักกลัวบาปกรรมเหรอความสวยและปากหวาน ไม่ได้ช่วยทำให้คนเรามีจิตใจดีได้เลย เราเรียกร้องอะไรไม่ได้มากเนื่องจากเจ้าของศูนย์ใหญ่โต ก็ต้องยอมรับเงือนไขที่เค้าเสนอมาเพียงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกเราไม่ได้กลับคืนมา และใช่ว่าเค้าจะยอมรับความผิด เค้าบอกว่าเซลทำเหมาะสมแล้ว คือเค้าต้องเคลียร์สต๊อกของเก่าออกไปก่อน เป็นอุดทาหรที่เราควรระวังรูปแบบของเซลขายรถ เซลขายรถเพื่อประโยชน์ของตัวเค้าเอง เพื่อทีมงานของเค้า และศูนย์ของเค้า หากเราไม่ระวัง เราก็จะตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นอย่าไว้ใจเซลและศูนย์ที่มีข่าวไม่ดี