วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

“จัมพ์แบต”เรื่องง่ายๆที่ทำ(ไม่)ยาก

 เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ


            นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จาก หลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง

       “การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่ มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่ จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
      
       **วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
      
       เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถและ ขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+) ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-) ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา


            ต่อจากนั้นนำสาย หัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์หรือตัวถังรถยนต์ของ รถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่ ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
      
       จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+) จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ ใหม่


            **ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**
       

       - ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
       - เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
       - ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
       - ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์ หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
       - ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่ หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

รู้จักระบบลูกผสม“ไฮบริด”

 มาทำความรู้จักกับระบบไฮบริดกันอีกสัก หน่อยว่า จริงๆ แล้วระบบที่เรียกกันว่า ไฮบริด นั้นมีกี่ประเภทและแต่ละประเภทนั้นเป็นอย่างไร จากข้อมุลที่โตโยต้านำเสนอ


            1. ระบบไฮบริดแบบ อนุกรม (Series Hybrid)
       

       ระบบนี้เครื่องยนต์จะไปหมุนเจเนอเรเตอร์ เพื่อก่อกำเนิดพลังงานไฟฟ้า จากนั้นพลังงานไฟฟ้าก็จะไปทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนและส่งต่อกำลังไปหมุนล้ออีก หนึ่งทอดเพื่อทำให้รถวิ่ง ลักษณะการทำงานเหมือน หัวรถจักรของรถไฟ
       ข้อดีของระบบนี้ไฮบริดแบบอนุกรมก็คือ สามารถทำให้เครื่องยนต์กำลังต่ำทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง โดยให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้าและจ่ายไฟฟ้าไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าอีกทั้งยังช่วยชาร์จ ไฟแบตเตอร์รี่ไปด้วยในตัว
     
       2. ระบบไฮบริดแบบ คู่ขนาน (Parallel Hybrid)
       

       ระบบคู่ขนาน ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนหมุนล้อไปพร้อมๆ กัน (เป็นที่มาของชื่อเรียก คู่ขนาน) โดยที่กำลังขับเคลื่อนจากแหล่งพลังงานทั้ง 2 ชนิดจะถูกนำมาใช้ตามสถานการณ์ต่างๆ เท่าที่รถต้องการในเวลานั้น และมอเตอร์จะใช้กำลังไฟฟ้าจากแบตเตอร์รี่ซึ่งการชาร์จไฟจะมาจากการเปลี่ยน มอเตอร์ไฟฟ้าให้ทำงานเป็นเจเนอเรเตอร์ ในขณะที่รถเบรก
     
       ข้อดีคือ เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อน เรียกใช้พลังงานได้เยอะ แต่ข้อด้อยคือ ไม่สามารถส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อได้ขณะที่ทำการชาร์จไฟฟ้าในคราวเดียวกัน เพราะว่าระบบนี้มีมอเตอร์เพียงตัวเดียวในการทำงาน 2 หน้าที่


            3. ระบบไฮบริดแบบอนุกรม/คู่ขนาน
     
       ระบบนี้รวมเอาข้อดีระบบไฮบริดทั้ง 2 แบบเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด ซึ่งรถไฮบริดของโตโยต้าจะเลือกใช้ระบบนี้รวมถึง รุ่น คัมรี่ ไฮบริด ด้วย โดยระบบดังกล่าวนี้ โตโยต้า เรียกว่า THS
     
       การทำงานของระบบจะขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ว่าจะต้องการใช้กำลังจาก มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว(ข้อดีของแบบอนุกรม) หรือจะใช้กำลังขับเคลื่อนจากทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ (ข้อดีของแบบคู่ขนาน) นอกจากนั้น ระบบนี้ยังสามารถส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อต่างๆ ได้ แม้ในขณะที่เจเนอเรเตอร์สร้างกระแสไฟฟ้า


            สำหรับ ข้อดีของระบบไฮบริด อันดับ 1 แน่นอนคือ ด้านการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง พร้อมกับลดมลพิษจากการปล่อยไอเสีย ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ รวมถึงการมีอัตราเร่งที่ราบรื่นไม่ติดขัดจากการผสานการทำงานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งหากใครคิดจะคบหาศึกษาข้อมูลสักหน่อยแล้วคุณก็จะเข้าใจได้ไม่ยาก


   

ที่มา : www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

ยางแตกไม่ต้องกลัว

เมื่อรถยนต์เกิดยางแตกขณะขับขี่ด้วยควาเร็วสูง เราจะมีวิธีรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร ควรทำอย่างไรก่อนและหลัง จึงจะปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่มากที่สุด ดังนั้นวันนี้จะนำเสนอวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดยางแตกหรือยางระเบิดขึ้นขณะ ขับขี่ด้วยความเร็วสูงครับ


           หากเราไม่ค่อย ได้ตรวจสภาพยาง และขับรถด้วยความเร็วสูง อาจเกิดกรณียางล้อรถแตกได้ เมื่อยางแตกห้ามเปลี่ยนเลน และอย่าแตะเบรกหรือคลัตซ์โดยทันทีทันใด เพราะอาจจะทำให้รถเกิดอาการเสียหลัก พลิกคว่ำได้ แต่ให้ผ่อนคันเร่ง แล้วค่อยๆ พารถออกจากบริเวณนั้นเพื่อหาที่จอดที่ปลอดภัย ถ้ายางล้อหน้าแตกให้แตะเบรกเบาๆ เพื่อลดความเร็วลง ขณะเดียวกันก็ให้เปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ต่ำ โดยลดทีละระดับ แต่ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ห้ามเปลี่ยนเป็นเกียร์ P เพื่อลดความเร็ว


           เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจจะร้ายแรงได้ไม่มากก็น้อยครับ

ที่มา www.usedcar2u.com

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

การทำความสะอาดล้างห้องเครื่อง

เรื่องดูแลความสะอาดรถสุดที่รัก นั้นถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งชีพ ภายนอกต้องสะอาด ภายในต้องหอมกลุ่น จะให้ล้างให้ขัดยังไงขอให้บอก แต่พอคิดถึงเรื่องจะล้างห้องเครื่องทีไร คิดแล้วคิดอีก บางคนบอกว่า เครื่องหัวฉีดห้ามโดนน้ำบ้าง ล้างแล้วจะทำให้เครื่องรวนบ้าง หรือเครื่องพังไปเลย (เรื่องนี้ผมไม่เถียง แต่เป็นการล้างที่ผิดวิธี) ให้ร้านล้างอัดฉีดเขาทำให้ดีกว่า ร้านที่ล้างดีก็ดีไป บางร้านบอกกลัวมีปัญหา แล้วจะล้างเอาไปเปิดโชว์สาวหรือพี่ (ย้อนให้อีก) แต่ที่แย่กว่า บางร้านบอกไม่มีปัญหารับประกันเอี่ยมแน่ ผลเอี่ยมจริงแต่วิ่งไม่ได้ สตาร์ทไม่ติด สะดุดรวนไปทั้งคัน แล้วมาบอกอีกว่าเครื่องพี่ไม่ค่อยดี สงสัยหัวเทียนบอด พอจะรื้อเปลี่ยนหัวเทียน ปลาแทบอยู่ได้ น้ำเต็มเบ้าหัวเทียนเลย ก็พวกเอาเครื่องอัดฉีด เป่าน้ำเข้าไปเต็มๆขนาดนั้น ไม่เอี่ยมอย่างไงไหว กว่าจะซ่อมมาให้กลับมาเข้าที่เข้าทางได้ก็เป็นอาทิตย์ คราวนี้มาดูกันครับว่า ถ้าจะล้างห้องเครื่องยนต์ ให้สะอาดเอี่ยม ปราศจากคราบฝุ่น คราบน้ำมัน สวยงาม เปิดเครื่องโชว์ได้ไม่อายใคร ตรวจเช็คปัญหาพวกเรื่องน้ำมันรั่วซึมได้ง่าย และไม่มีปัญหามีล้างอย่างไร และต้องระวังจุดใดบ้าง


         เตรียมอุปกรณ์ การทำความสะอาดล้างห้องเครื่อง

        1. น้ำยาล้างเครื่องยนต์ หาซื้อได้ตามเชียงกง หรือร้านอะไหล่ ราคาไม่เกิน 500 บาท/แกลลอน
        2. น้ำมันผสม เลือกได้ทั้ง 2 แบบ คือน้ำมันเบนซิล 91 ก็พอ หรือจะใช้ 95 ก็ได้(มันแพงเกินไปหน่อย) หรือน้ำมันโซล่าหรือน้ำมันดีเซลนี่หละ แล้วอย่าพึ่งรีบไปผสมแล้วอยากเอี่ยมไปล้างก่อนล่ะ อ่านให้จบก่อนดีกว่า ผสมผิดคิดจนตายได้ อย่างนี้หละที่เขาเรียกว่า เคล็ดลับ
        3. แปรงทาสี ขนาดพอเหมาะสัก 1 นิ้ว หรือ 1.5 นิ้ว , ฟองน้ำล้างรถ (ไม่ต้องใช้แพงๆครับ เพราะมันโดนน้ำมันทีเดียวก็อาจเหลวเสียทิ้งได้เลย) หรือสก็อตไบท์ สำหรับท่านที่คิดว่าเครื่องสกปรกมากๆ
        4. ถุงพลาสติก เทปพันสายไฟ หรืออะไรก็ได้ที่ใกล้เคียง คงไม่ได้เอามาใส่ขยะแน่ จุดประสงค์ใช้เปิดตามปลั๊กไฟเพื่อกันน้ำ
        5. น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy หรือ Carwash หรือไม่มีจริงๆ ก็พวกน้ำยาครอบจักรวาล Sonax , WD40 หรือใช้ควบคู่กันก็ดีครับ
        6. เครื่องเป่าลม เครื่องปั้มลมแรงๆ หรือพวกเครื่องดูดฝุ่นที่สามารถเป่าลมได้ ยิ่งแรงๆยิ่งดี ใช้ในการเป่าน้ำให้แห้ง
        7. น้ำ คงไม่ต้องอธิบายกันมาก


         ขั้นตอนการทำความสะอาด

        1. ถอดขั้วแบตเตอร์รี่ก่อน การล้างครั้งนี้เราต้องใช้น้ำ และน้ำคือสื่อไฟฟ้า อาจจะทำให้เกิดการลัดวงจรต่อระบบไฟหัวฉีด กล่องคอมพิวเตอร์พังได้ (พังมาเยอะ) หรือเกิดไฟช็อตลุกติดน้ำมันผสมได้ (กลายเป็นได้ซื้อรถใหม่ทั้งคัน ) และอย่างน้อยก็ป้องกันคนหวังดี แอบไปสตาร์ทเครื่องในขณะคุณที่กำลังล้างเครื่องอยู่
        2. หุ้มพลาสติกปลั๊กไฟ และพวกขั้วไฟฟ้าต่างๆ เช่น ปลั๊กจานจ่าย จานจ่าย คอยล์ ตัวช่วยจุดระเบิด ปลั๊กเซนเซอร์ หัวฉีดต่างๆ ที่พอจะหุ้มได้ กล่องฟิวส์ และปลั๊กไฟที่สำคัญทุกๆ จุด
        3. ผสมน้ำมันล้าง กับน้ำยา หาภาชนะมาเทน้ำยาล้างเครื่องลงไปก่อน แล้วใช้น้ำมันเทผสม
        การเลือกใช้น้ำมันผสม
        น้ำมันดีเซล โซล่า ใช้กรณีที่สกปรกน้อย พวกจุดที่มีฝุ่นผงเกาะ น้ำมันเปื้อนเล็กน้อย คอไอดีที่เป็นอะลูมิเนียม หรือพวกจุดต่างๆที่ต้องการความเงางาม และจุดที่เป็นอลูมิเนียมปัดเงา การผสมน้ำมันดีเซลจะทำให้เกิดความเงางามเพิ่มขึ้น อัตตราส่วนไม่ควรเกิน 2:1 (น้ำยา 2 ส่วน : น้ำมันโซล่า 1 ส่วน) ผสมมากเกินไปจะใสล้างไม่ค่อยออก ผสมน้อยไปก็ล้างไม่ค่อยออกเหมือนกัน
        น้ำมันเบนซิล ใช้ในกรณีสกปรกมากๆ จุดที่จะล้างมีคราบน้ำมันเหนียว หรือเป็นคราบแข็งเป็นเวลานานๆ การผสมน้ำมันเบนซิลมีผลในการกัดที่รุนแรงมาก ไม่ควรใช้ทากับพลาสติก จุดที่เป็นสีดำ จุดที่พ่นสีด้วยสีเสปย์ หรือพวกอลูมิเนียมเงา หรือปัดเงา จะทำให้เกิดคราบกัดขาว อัตตาส่วนผสมไม่ควรเกิน 3:1 หรือ 2:1 (น้ำยา 3 ส่วน : น้ำมัน 1 ส่วน) ผสมมากการกัดก็รุนแรงมาก

             4. ทาน้ำยาผสมล้างให้ทั่ว ใช้แปรงทาสี จุ่ม และค่อยๆทา ถ้าไม่ออกทาแรงๆ ถ้าไม่ออกก็ฟองน้ำ สก็อตไบท์ บรรเลงลงไปเลยครับ นี่หละเคล็ดลับ แต่การใช้สก็อตไบท์ ต้องระวังหน่อย อย่าขัดพวกสีรถ หรือพวกพลาสติก จะทำให้เกิดรอย ใช้ในจุดที่อยากให้ออกจริงๆ ต้องระวัง
        5. ใช้น้ำล้างออก ควรใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ เช็ดน้ำยาและคราบออก ตามจุดที่ควรระวังเช่น ฝาครอบสายหัวเทียน สายหัวเทียน ฝาครอบวาล์ว จานจ่าย ตัวช่วยจุดระเบิด กล่องฟิวส์ และจะสำคัญเกี่ยวกับระบบไฟทุกๆจุด และใช้น้ำค่อยๆเทราดไปในส่วนที่ต้องการล้าง ใช้แปรง และฟองน้ำ ควบคู่กันจนออกหมด
        6. เป่าลมไล่น้ำให้แห้ง ใช้เครื่องปั้มลม หรือเครื่องดูดฝุ่น(ต่อให้เป็นแบบเป่าลมได้) หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไดเป่าผมเนี่ยหละครับ ต้องลงทุนกันบ้างแล้ว เป่าไล่น้ำตามจุดต่างๆ ออกให้หมด เน้นๆพวกปลั๊กไฟ จานจ่าย และหัวเทียน พร้อมแกะพลาสติกหุ้มออกให้หมด และเป่าลมจนน้ำแห้งสนิท
        7. ใส่ขั้วแบตสตาร์ทเครื่องได้ เป็นการทดสอบว่ามีน้ำเข้าไปตามปลั๊กไฟหรือไม่ ถ้าเครื่องยังเดินสมบูรณ์ไม่มีปัญหาถือว่าไชโยโอเค ถ้าเกิดสตาร์ทไม่ติด หรือเดินไม่นิ่ง ต้องถอดขั้วแบต และเป่าลมไล่น้ำอีกครั้ง เน้นๆจานจ่าย คอยล์ ปลั๊กหัวเทียน และปลั๊กไฟต่างๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ถอดมา แล้วเป่าลมให้แห้ง พ่นน้ำยากันสนิม หรือน้ำยาล้างหน้าคอนแทค ถือเป็นการทำความสะอาดขั้วไฟไปในตัว
        8. เคลือบเงา หลังจากสตาร์ทเครื่องอุ่นสักพักจนน้ำแห้งดี รอให้เครื่องเย็นก่อนครับ แล้วใช้น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy มาจุ่มด้วยฟองน้ำ และทาในจุดที่ต้องการให้เงางาม ถือว่าดีที่สุด หรือใช้น้ำมันพวกครอบจักรวาล พ่นเคลือบในจุดที่แห้ง และจะเกิดสนิม ใช้น้ำมันเครื่องกับจารบี ทาหรือหยอดในจุดหมุนต่างๆ เป็นการป้องกันสนิม และหล่อลื่นไปในตัว การใช้น้ำมันเครื่องมาทาให้เงางาม ผลเสียคือฝุ่นจะจับตัวเร็วมาก ถ้าเป็นน้ำมันครอบจักรวาล พวกนี้จะระเหยตัวเร็ว ต้องพ่นเคลือบและเช็ดบ่อยๆ


             เสร็จ เรียบร้อยแล้วกับการล้างห้องเครื่อง ให้สวยงามและถูกวิธี ขอสำคัญคือทำความสะอาดบ่อยๆ และถือโอกาสตรวจเช็คส่วนต่างของประกอบต่างๆ เช่นท่อน้ำ ท่อน้ำมัน น้ำรั่ว น้ำมันเครื่องซึม สายพาน สายไฟ อื่นๆ ไปด้วยในตัวเลยนะครับ

ที่มา : www.sanook.com

หน้าปัดไมล์เรืองแสง ..เทคโนโลยีดาบ 2 คมของคนใช้ถนน

ในปัจจุบันนวัตกรรมโลกยานยนต์นั้น ต้องถือว่ามีความก้าวล้ำหน้าอย่างมากเมื่อเทียบกับในยุคก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีต่างๆมากมายที่ทางผู้ผลิตต่างนำมาใส่ไว้ในรถที่ ออกมาจากโรงงานของตน ทว่าเทคโนโลยีบางอย่างที่ถูกติดตั้งเสร็จสรรพมาจากโรงงานนั้น บางครั้งก็สร้างนิสัยที่ไม่ควรปฏิบัติให้แก่บรรดาผู้ใช้รถด้วย
    
    แม้เป็นการยากที่จะปฏิเสธว่าเทคโนโลยีใหม่ มันหมายถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองต่อโจทยืของ บรรดาผู้บริโภคที่ยังคงเรียกร้องหากความต้องใหม่ๆ ในประเด็นเดิมๆอยู่เสมอ อย่างเช่นความสะดวกสบาย ความปลอดภัย หรือไม่เว้นกระทั่งเรื่องเก่าในตอนใหม่อย่างการประหยัดพลังงาน ที่ทุกวันนี้บรรดาค่ายรถยนต์ทั้งหลายต่างมึ่งหน้าให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้นไป เรื่อยๆ
    ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆนานาชนิด จะถูกบรรดาวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ต่อยอดจนทุกวันนี้ เราแทบจะนึกไม่ออกแล้วว่า รถยนต์ในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นใด แต่อย่างหนึ่งที่แน่ๆ ก่อนที่ยนตรกรรมจะก้าวหน้าจนล้ำยุคมากไปกว่านี้ เราคงต้องมองถึงข้อดี-ข้อเสียของเทคโนโลยีที่วันนี้ สิ่งหนึ่งที่เริ่มจะเป็นมาตรฐานของบรรดารถนั่งชั้นหรูจากหลายๆค่าย กำลังทำให้ผู้ใช้รถยนต์หลายๆคนเริ่มเสียนิสัยจนอาจจะเป้นอันตรายทั้งต่อ ตนเองและเพื่อนร่วมทาง
    สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนั้นมันไม่ใช่อะไรไกลตัวมากนัก หากแต่มันคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคนขับตลอดเวลาอย่าง "หน้าปัด" หรือ "เรือนไมล์" นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้แม้หน้าปัดจะยังคงทำหน้าที่เหมือนเคย ในฐานะตัวบ่งบอกสภาพการทำงานของเครื่องยนต์หรือรถยนต์ที่กำลังเป็นอยู่ขณะ นั้น เพื่อแจ้งให้คนขับทราบถึงสภาพการทำงาน ทว่าในวันนี้หน้าปัดที่ดูเหมือนเคยกลับถูกบรรดาค่ายรถยนต์ทำให้มันดูทันสมัย ยิ่งขึ้นด้วยการทำเรือนไมล์ที่ดูอมทุกข์ น่าเบื่อกลับมีสีสันแลดูง่ายยิ่งขึ้น โดยเราอาจจะรู้จักพวกมันในนามว่า  "ไมล์ออพติตรอน" หรือถ้าจะเรียกให้ถูกควรจะเรียกว่า "ไมล์เรืองแสง" มากกว่า
    
    ไมล์เรืองแสงนั้นเป็นเรือนใหม่แห่งยานยนต์ยุคใหม่ที่ต่างถูกใจบรรดาผู้ใช้รถ อย่าง ด้วยหน้าตาของมันที่ดูมีสีสันมากขึ้น และแสงสีที่ถูกแต่งเข้ามาในตัวเรือนไมล์ก็ยังส่งผลดีในการช่วยให้ผู้ใช้รถ สามารถสังเกตค่าในการใช้งานต่างๆได้ง่ายยิ่งขึ้น ทำให้เรือนไมล์เรืองแสงนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างล้นหลามดัง จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ในรถนั่งส่วนใหญ่ที่ออกมาทำตลาดในรุ่นใหม่ๆก็มักจะมีไมล์ชนิดนี้ ติดมาด้วย
    อย่างไรก็ดีถึงไมล์เรืองแสงจะมีข้อดีมากกว่าเพียงแค่รูปลักษณ์ที่สวยงาม ทว่าในทางกลับกันนั้นไมล์เรืองแสงกลับส่งผลร้ายต่อสังคมผู้ใช้รถใช้ถนนเป็น ประจำ และปัญหาที่เรากำลังพูดถึงนั้นมักจะพบได้ในยามค่ำในถนนที่มักมีแสงสว่าง เพียงพอ ปัญหานี้เป็นปัญหาที่สืบเนื่องจากการทำงานของไมล์ออพติตรอนที่จะทำงานทันที ตั้งแต่ที่ไฟในรถถูกจ่ายเข้ามาที่หน้าปัดจวบจนสตาร์ทเครื่อง และจะปิดการทำงานเมื่อดับเครื่องยนต์ ซึ่งผลที่ตามมาคือมีคนจำนวนไม่น้อยขับรถออกจากที่หมายในยามค่ำคืน โดยที่พวกเขาไม่ได้เปิดไฟส่องสว่างทั้งไฟหน้าและไฟท้าย และนั่นหมายความว่าพวกเขากำลังเสี่ยงอันตรายโดยไม่รู้ตัวและพร้อมกันยังอาจ ทำให้เพื่อนร่วมทางตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
    

    ทั้งนี้ปัญหาเรื่องไมล์เรืองแสงนี้สามารถแก้ไขได้ง่าย โดยเริ่มที่ตัวคุณเองหากใครใช้รถที่มีไมล์เรืองแสงอยู่ ถ้ารถของท่านมีฟังชั่นเปิดไฟหน้าไฟท้ายอัตโนมัติได้ก็ควรจะบิดสวิทช์ไฟไว้ ที่ตำแหน่งดังกล่าว แต่ไม่พบปุ่มสวิทช์อัตโนมัติ ก็แค่เพียงสร้างนิสัยเมื่อจะออกเดินทางในยามค่ำคืนก็ขอให้ลองตรวจสอบความ สว่างทางด้านหน้า หรือสังเกตง่ายๆว่า เมื่อท่านเปิดไฟหน้าแล้วเรือนไมล์จะลดความเข้มของแสงลงเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็เดินทางยามค่ำคืนได้ปลอดภัยกันแล้ว
    แม้เรื่องไมล์เรืองแสงนี้ จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่เราอาจจะพูดว่าปัญหามันเกิดจากผู้ใช้ที่ อ้างอิงเทคโนโลยีมากเกินไป ทว่าเราเองก็ควรต้องสร้างนิสัยที่ดีในการขับรถ โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่ทัศนวิสัยไม่สามารถมองได้ชัดเจนนักยิ่งต้องนึกถึงความ ปลอดภัยให้มาก แม้เราขับรถจะไม่มีคอนเซปต์ "เปิดไฟ..ใส่หมวก" แต่เราควรต้องเห็นใจเพื่อนร่วมทางคนอื่นบ้าง..เสียเวลาอีกนิดแต่ชีวิตจะ ปลอดภัยมากขึ้นครับ

     ที่มา : www.sanook.com

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

“โช้กอัพ” ต้องเปลี่ยนเมื่อไหร่


 
              โช้กอัพ (Shock Absorber)เป็น อุปกรณ์สำคัญที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดแรงสั่นสะเทือนของรถ และยังทำหน้าที่หน่วงการเคลื่อนที่ขึ้นลงของตัวถังรถยนต์ เพื่อให้ล้อรถสัมผัสกับผิวถนนตลอดเวลาขณะรถวิ่ง ทั้งยังดูดซับการสั่นของสปริง ทำให้การเด้ง ขึ้น-ลง หรือการเต้นของตัวรถยนต์ ลดน้อยลงทำให้การสั่น หรือการเต้นของน้ำหนัก ที่สปริงไม่ได้รองรับ เช่น ล้อ, เพลาล้อ, ตัวห้ามล้อ ฯลฯ ลดน้อยลง


            โช้กอัพ แบ่งตามสื่อการทำงานได้ 2 ระบบ คือ โช้กอัพน้ำมัน โช้กอัพชนิดนี้ใช้น้ำมันไฮดรอลิกเป็นตัวทำงานให้เกิดความหนืดเพียงอย่าง เดียว ในขณะที่ทำงานน้ำมันไฮดรอลิกจะไหลผ่านวาล์วภายในลูกสูบจึงทำให้เกิดฟองอากาศ ทำให้โช้กอัพทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง
      
       โช้กอัพแก๊ส คือ โช้กอัพที่อาศัยการทำงานร่วมกัน ระหว่างแก๊สไนโตรเจน และ น้ำมันไฮดรอลิก มีหลักการทำงานคือ เมื่อโช้กอัพได้รับแรงสะเทือนจากพื้นถนน ลูกสูบของโช้กอัพจะเลื่อนตัวลงมาด้านล่างของกระบอกลูกสูบ ทำให้น้ำมันไฮดรอลิกที่บรรจุในกระบอกสูบไหลผ่านวาล์วขึ้นไปห้องน้ำมันด้านบน และน้ำมันอีกส่วนไหลผ่านวาลว์ ด้านล่างเข้าไปในห้องน้ำมันสำรอง ขณะเดียวกัน น้ำมันในห้องน้ำมันสำรอง จะทำการอัดแก๊สไนโตรเจนให้เกิดแรงดัน เมื่อแก๊สมีแรงดันก็จะดันน้ำมันไฮโดรลิกที่อยู่ในห้องน้ำมันสำรอง กลับเข้าสู่กระบอกสูบดังเดิม โดยในขณะเดียวกันแรงดันที่เกิดขึ้นก็จะทำให้ฟองอากาศแตกตัว


            แต่สิ่งหนึ่งที่คุณควรทราบก็คือ จะรู้ได้อย่างไรว่ารถของคุณควรเปลี่ยนโช้กอัพ?. สังเกตง่ายๆเมื่อรถมีอาการเต้นหรือกระโดดขึ้นลงเมื่อขับรถผ่านทางขรุขระโดย ทดสอบอย่างง่ายๆ ให้ท่านเหยียบบนกันชนและขย่มหลายๆ ครั้ง หลังจากปล่อยเท้าออกแล้ว ถ้ารถยังเต้นขึ้นลงต่อไปแสดงว่าโช้กอัพเสียหรือเป็นโช้กอัพไม่ได้มาตรฐาน
      
       การติดตั้ง “โช้กอัพใหม่” ไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพการทำงานของโช้คอัพจะเต็ม 100% เสมอไป หากผู้ติดตั้งไม่ได้ทำการเช็กโช้กอัพให้พร้อมก่อนการติดตั้ง มักจะเกิดปัญหาตามมา รวมถึงอายุการใช้งานของโช้กอัพก็จะสั้นกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย สาเหตุอาจเกิดจากโช้กอัพดังกล่าวเป็นโช้กอัพประเภทโช้คแก๊ส 2 กระบอก (Twin Tube) ซึ่งหากเป็นโช้กที่สมบูรณ์จากโรงงาน “แก๊ส” จะต้องอยู่ในโช้กอัพกระบอกที่ 2 (Reserve Tube) แต่ความผิดปกติเกิดจากการที่แก๊สหลุดเข้าไปอยู่ในกระบอกแรก ทำให้โช้กอัพเสียแรงเสียดทาน ดังนั้นเมื่อลูกสูบโช้กสัมผัสแก๊สส่งผลให้การเคลื่อนที่ของแกนโช้กผิดปกติ


            ที่สำคัญก็คือการ “เช็กความสมบูรณ์ของโช้กอัพ” ก่อน การติดตั้ง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานของโช้กอัพเต็ม 100% ด้วยวิธีง่ายๆ และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งช่างผู้ติดตั้งสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่นๆ ช่วย การเช็คความสมบูรณ์ของโช้คอัพก่อนการติดตั้ง ดังภาพประกอบที่ 1 จะเริ่มจาก
      
       • วางโช้กอัพในลักษณะตั้งขึ้น เหมือนการติดตั้งในรถ
       • กดโช้กอัพลงให้สุด และปล่อยให้แกนโช้คเคลื่อนตัวขึ้น
       • หากมีช่วงในการกดและคืนตัวที่ไม่สม่ำเสมอ เช่น มีอาการวืดในบางช่วง ให้สันนิษฐานว่ามีอากาศอยู่ภายในกระบอกโช้ก
       

       เมื่อพบความผิดปกติของโช้กอัพก่อนการติดตั้งก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้
       •คว่ำโช้กลง และกดให้แกนโช้กเข้าไปในกระบอกโช้กจนสุด
       • หงายโช้กขึ้นในลักษณะเหมือนการติดตั้งปกติ
       • ปล่อยแกนโช้กให้ขึ้นมาด้วยแรงดันภายในกระบอกโช้กตามปกติ

      
       ทำซ้ำขั้นตอนประมาณ 3 ครั้ง หรือสามารถสังเกตการเคลื่อนตัวของแกนโช้กให้เคลื่อนตัวขึ้นอย่างราบเรียบ เท่านี้ก็สามารถนำโช้กอัพไปติดตั้งได้แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นช่างก็สามารถจดจำวิธีการนี้ ไปแนะนำกับช่างเพื่อทดสอบความละเอียดรอบคอบของช่าง ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง


ที่มา www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ใช้ให้เป็น..ไฟตัดหมอก

ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถรุ่นใหม่แทบทุกรุ่นต่างได้รับการติดตั้งชุดไฟตัดหมอกกออก มาจากโรงงาน และคนจำนวนมากก็เข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นแฟชั่นใหม่ไปสรรหามาแต่ง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของบรรดาคอซิ่ง และรถแต่งจำนวนมากไปแล้ว
แม้ว่าการติดตั้งไฟตัดหมอกออกมาจากโรงงานก็ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น แต่มีคนจำนวนมากไม่เข้าใจวิธีใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าประโยชน์ และยังผิดกฏหมายอีกด้วย
   
ไฟตัดหมอกไม่ใช่ของใหม่ แต่อย่างใด ทว่ามีมานานมากแล้ว โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาว หรือ ประเทศที่มีภูเขาค่อนข้างมาก โดยเจ้าไฟตัดหมอกนี้จะเป็นดวงไฟชุดที่ 2 ที่จะช่วยให้ความสว่างยามที่ทัศนวิสัยการขับขี่ไม่เอื้ออำนวยนัก
ชุดไฟตัดหมอก โดยมากมันก็คือสปอร์ตไลท์ย่อส่วน ที่มาพร้อมกับดวงไฟขนาดไม่ใหญ่โตนักขนาด 55 วัตต์ แต่ก็ทะลุทะลวงเอาเรื่อง ด้วยหลอดไฟแบบเดียวกับสปอร์ตไลท์ ที่จะกระจายแสงในระนาบแนวกว้าง ทำให้สามารถเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ได้อีก แม้จะไม่มากมายแต่ก็สามารถให้มองเห็นทางได้ดียิ่งขึ้น และยังเป็นที่สังเกตของรถที่สวนมา หรือรถที่ตามมาข้างหลัง สำหรับไฟตัดหมอกหลัง
การใช้ไฟตัดหมอกแม้มันจะขึ้นชื่อว่าไฟตัด หมอก แต่คุณก็สามารถใช้ได้ โดยเฉพาะในหน้าฝนที่ตกพรำๆบ่อยเช่นนี้ ผิวที่เคลือบด้วยน้ำจะทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี การเปิดไฟตัดหมอกก็จะพอช่วยได้ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ เรามาดูกันว่า สถานการณ์ไหน ที่คุณควรจะต้องเปิดไฟตัดหมอกขับรถกัน

   
1. เมื่อฝนตก นี่เป็นสิ่งที่ควรทำและน่าจะทำอย่างยิ่ง เมื่อพบว่าตัวเองกำลังฝ่าฝนชุดใหญ่ที่ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณสมบัติการกระจายแสงของไฟตัดหมอกจะช่วยให้คุณเป็นที่สังเกตได้ง่าย เช่นเดียวกับการเพิ่มทัศนวิสัยให้ตัวเอง ไปด้วยในตัว
2. เมื่อเจอหมอก อัน นี้คงไม่ต้องกล่าวอะไรกันมากเพราะมันเป็นสิ่งที่ ไฟตัดหมอกเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ตามชื่อของมัน โดยมากเราอาจจะคิดว่าไฟตัดหมอกได้ใช้เฉพาะหน้าหนาว แต่ความจริงแล้ว เมื่อใดก็ตามที่ขึ้นภูเขาหรือ ที่สูงและพบว่าคุณตกอยู่ในทัศนวิสัยไม่ดี ก็สามารถเปิดใช้ได้เลย
3.หลังฝนหยุดในเวลากลางคืน ข้อนี้เป็นข้อที่เราอยากแนะนำให้ท่านทำอย่างมาก เพราะมันมีประโยชน์ โดยเฉพาะการเห็นเส้นทางที่จะทำได้ชัดเจนจริงๆ ไม่ว่าป้ายบอกทางและเส้นจราจรต่างๆ ช่วยให้คุณขับรถได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้วเมื่อฝนตกจนหยุดแล้ว ถนนจะยังเปียกชื้น แม้เราเปิดไฟใหญ่ไป แต่ก็จะพบว่ามันไม่ค่อยสว่างนัก การหันมาเพิ่มความเข้มของแสงด้วยไฟตัดหมอกจะขจัดปัญหานี้และช่วยลดการสะท้อน ของน้ำที่ผิวถนนไปด้วยในตัว
4.ขับผ่านกลุ่มควัน ไม่ว่าจะไฟไหม้หญ้าหรืออะไรก็ตามถ้าคุณพบว่า ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าเกินกว่า 50 เมตร ก็สามารถเปิดใช้ไฟตัดหมอกได้ โดยไม่ผิด
   
อย่างไรก็ดีการใช้ไฟตัดหมอกที่ถูกต้องจริงๆแล้วควรปิดเมื่อพบว่ามีรถสวนมาข้างหน้าในยามค่ำคืน โดยเฉพาะถนน 2 เลนสวนกันควรจะปฏิบัติอย่างยิ่ง และจงจำไว้ว่าไฟตัดหมอกไม่ใช่แฟชั่น ไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ
ทั้งนี้ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้ไฟตัดหมอกอย่างผิดๆ เพราะความไม่เข้าใจบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวเอง ใหม่ การเปิดไฟตัดหมอกอย่างพร่ำเพรื่อ นอกจากจะแสดงถึงมารยาทที่ไม่ดีในการใช้รถใช้ถนน แล้ว หากเจ้าหน้าที่พบเห็นสามารถจับท่านได้ในข้อหาเปิดไฟตัดหมอกโดยไม่มีสาเหตุ มีโทษสูงสุดปรับ 500 บาท

Sanook! Auto Comment
หลายคน คงไม่ทราบว่าไฟตัดหมอกนั้นอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณเปิดพร่ำเพรื่อแบบแฟชั่น มันจะเข้าไปสะท้อนลูกตาคนขับรถสวนทางมา นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง
อย่างไร ก็ดี หากรถท่านมีปัญหาเรื่องระบบไฟหน้าควรจัดเปลี่ยนใหม่ให้ส่องสว่างไม่ใช่ใช้ไฟ ตัดหมอกช่วย และท่านควรจะปฏิบัติการใช้ไฟตัดหมอกให้ถูกต้องเพื่อมารยาทที่ดีบนถนน
     ที่มา : www.sanook.com