วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเลือกซื้อรถมือสอง


ท่านที่ต้องการซื้อรถมือสองหรือรถใหม่ก็แล้วแต่ ควรรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของตัวเองเสียก่อนว่าจะนำรถไปใช้เพื่อวัตถุ ประสงค์อะไรปัจจัยต่อไปที่เราจะพูดถึงก็คือ การพิจารณาในการเลือกซื้อรถมาใช้ ควรดูว่ารถที่เราจะขับเป็นรถยี่ห้ออะไร และมีศูนย์บริการหรือบริการหลังการขายอย่างไร อะไหล่มีราคาถูกหรือราคาแพงและหาได้ง่ายหรือไม่ เพราะรถมือสองอาจจะต้องมีการซ่อมหลังจากการซื้อมามากหน่อย ซึ่งถ้าเป็นรถทางค่ายยุโรปอาจจะมีปัญหาเรื่องการหาอะไหล่ราคาถูกได้ยาก หรืออาจจะต้องรออะไหล่นาน สิ่งเหล่านี้สามารถดูได้จากความนิยมในการใช้ทั่วๆ ไป ถ้ามีความนิยมใช้มากอะไหล่ก็จะหาได้ง่ายและมีราคาถูก ดูปีที่ผลิตรถว่ารถเก่าไปไหม หรือจะใช้ได้อีกนานหรือไม่ ดูว่าหากต้องการขายต่อ ยังพอได้ราคาอยู่หรือเปล่า ดูเลขกิโลเมตรกับปีรถว่าเหมาะสมกันหรือไม่ ซึ่งเรากำลังจะกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อต่างๆ ต่อไปนี้ครับ

1. การตรวจเช็คสภาพภายนอกของรถยนต์ คือ การดูตัวถังภายนอกและการดูสีของรถยนต์ การดูสีของรถยนต์ควรดูที่สว่างๆ แต่ไม่ใช่กลางแดดจัด ให้มีแสงพอสมควร เริ่มจาก
1.1 ยืนในต่ำแหน่งหน้ารถ แล้วนั่งลงมองในระดับฝากระโปรงหน้าทั้งด้านซ้าย และด้านขวาดูเส้นขอบตรงหน้ารถไปจรดท้ายที่เป็นเส้นตรงว่ารอยหรือเส้นขอบ ต่างๆ ผิดเพี้ยนหรือไม่ถ้าดูแล้วมีรอยยุบของเส้นขอบต่างๆ ที่ไม่ต่อเนื่องสันนิษฐานได้ว่ารถคันนี้ได้มีการทำสีมาแล้ว
1.2 เดินดูรอบรถโดยดูเส้นขอบของประตูเป็นแนวเดียวกันหรือไม่ มีรอยโค้ง รอยนูนหรือเว้าหรือไม่
1.3 ดูช่องว่างระหว่างประตูแต่ละบานว่าเหมาะสมกันหรือไม่
1.4 ดูตัวถังว่ามีการโป๊วสีมาหรือไม่ โดยการใช้นิ้วดีดหรือเคาะเพื่อทำการฟังเสียง โดยทำรอบๆ ตัวรถบริเวณที่มีเสียงทึบมีโอกาสเป็นไปได้ว่ารถได้มีการทำสีมาก่อน เสียงที่ดีต้องเป็นเสียงป็อกๆ ถือว่าใช้ได้
1.5 ต่อไปให้ดูว่าผิวสีเรียบเป็นปรติเหมือนกันทั้งคันหรือไม่ เพราะถ้าผิวสีที่มีรอยนูนหรือเว้า หรือลักษณะของสีที่แตกต่างกัน
1.6 ดูส่วนประกอบรอบๆ รถ เพื่อที่จะบอกได้ว่าเจ้าของเก่ามีการใช้รถเป็นอย่างไร

2. การดูภายในห้องเครื่องยนต์ เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้น เริ่มจาก
2.1 ดูที่คานหน้าหม้อน้ำ ทั้งด้านบนและล่าง รูน๊อตยึดต่างๆ กลมเป็นปรกติหรือไม่
2.2 ดูสภาพของสีกลมกลืนทั้งห้องเครื่องยนต์หรือไม่ ถ้าสีเหมือนกันแต่พ่นใหม่อาจจะมีการยกเครื่องออกมา เพื่อทำการซ่อมตัวถังหรือซ่อมเครื่องยนต์
2.3 ดูตะเข็บรอยต่อเป็นปรกติ เหมือนกันทั้ง 2 ข้าง
2.4 ดูซุ้มล้อหน้าซ้าย,ขวา สังเกตสติ๊กเกอร์ NAME PLATE ว่ามีหรือไม่ สภาพเป็นปกติหรือเปล่า
2.5 ดูร่องน้ำไหล ทั้งซ้ายและขวา ง่ามีรอยบุบหรือคดบ้างหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้ จะบ่งบอกถึงการเกิดอุบัติเหตุหรือเพียงแค่ทำสีใหม่เท่านั้นควรดูให้ดี

3. การดูเครื่องยนต์
3.1 คราบหรือร่องรอยของการรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง
3.2 ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก, คลัทช์, น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ สีต้องเป็นปกติและสะอาด
3.3 ระดับน้ำยาหล่อเย็น จะต้องอยู่ในระดับที่กำหนด
3.4 ระดับน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ สีและกลิ่นของน้ำมัน
3.5 ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่กำหนด สีและกลิ่นต้องอยู่ในสภาพที่ดี
3.6 สภาพของสายพานต่างๆ จะต้องไม่แตกร้าว ความตึงพอเหมาะ
3.7 ตรวจหม้อน้ำ,ฝาปิดหม้อน้ำ จะต้องไม่รั้วและมีน้ำอยู่ในระดับที่พอเหมาะ
3.8 สภาพของสายไฟในห้องเครื่องยนต์ จะต้องจัดเก็บเรียบร้อย
3.9 แบตเตอร์รี่จะต้องไม่บวม ขั้วแบตเตอร์รี่สภาพดี และดูอายุของแบตเตอร์รี่,สภาพของน้ำกลั่น
3.10 ติดเครื่องฟังเสียงของเครื่องยนต์ว่าผิดปกติหรือไม่ และจะติดเครื่องได้โดยง่าย
3.11 เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วสังเกตเสียงว่าผิดปกติหรือไม่ เครื่องยนต์เดินเรียบหรือเปล่า
3.12 ตรวจการรั่วของกำลังอัด ดูไอน้ำมันเครื่อง โดยดึงก้านวัดน้ำมันขึ้นมาดูว่ามีควันหรือกลิ่นไหม้ ถ้าไม่มีถือว่าใชได้ และจะต้องไม่มีแรงดัน ดันออกมาทางด้านก้านวัดน้ำมันด้วย
3.13 เดินไปท้ายรถสังเกตควันที่ออกจากท่อไอเสีย จะต้องไม่ขาวและดำ ถ้าผิดปกติแสดงว่าเครื่องยนต์ทำงานบกพร่อง อาจจะต้องมีการทำเครื่องยนต์ใหม่

4. การดูห้องโดยสาร
4.1 แผงหน้าปัทม์ ดูไฟเตือนต่างๆ ขณะเปิดสวิทซ์กุญแจ ต่อจากนั้นสตาร์ทเครื่อง ไฟเตือนต่างๆ จะต้องดับลง
4.2 ระบบเครื่องเสียงใช้งานได้ตามปกติหรือไม่
4.3 ระบบปรับอากาศ อุณหภูมิของลม การปรับตั้ง Mode, Fan, Temperature ทำงานได้ดีหรือเปล่า
4.4 ไฟส่องสว่างภายในรถ เช็คสัญญาณไฟเลี้ยว, ไฟสูง ว่าติดที่หน้าปัทม์หรือไม่ขณะทำการเปิด
4.5 กระจกหน้าต่างทุกบานปิดสนิทหรือไม่
4.6 เบาะนั่งอยู่ในสภาพใช้งานได้เป็นปกติสามารถทำการปรับตั้งได้หรือไม่
*โดยรวมสภาพของห้องโดยสาร จะต้องสัมพันธ์กับอายุของรถ เลขกิโลเมตร่าเหมาะสมกันหรือไม่

5. ดูห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ การดูคล้ายๆ กับห้องเครื่องยนต์
5.1 รอยตะเข็บต่างๆ ,รอยเชื่อม,รอยบัดกรี จะต้องไม่ผิดเพี้ยนจากจุดใกล้เคียง
5.2 ร่องรอยการทำสี ว่ามีสีที่ดูใหม่กว่าจุดอื่นหรือไม่
5.3 รางน้ำฝากระโปรง ต้องไม่เสียรูป
5.4 ถ้าเป็นรถเก๋งควรเปิดพรมท้ายรถดูว่ามี เครื่องมือ, ยางอะไหล่อยู่หรือเปล่า และตรวจดูว่ามีน้ำขังอยู่หรือไม่ ถ้ามีอาจเกิดจากการรั่วของรอยตะเข็บบริเวณรางน้ำของฝากระโปรงท้ายได้

6. ตรวจสอบช่วงล่าง โดยรถยนต์กับที่
6.1 กดรถทางด้านหน้าและหลัง เพื่อดูการทำงานของโช๊คอัพจะต้องไม่แข็งและเด้งเร็วเกินไป และดูว่ามีคราบน้ำมันจำนวนมากที่บริเวณโช๊คอัพหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าน่าจะชำรุด
6.2 ดูยางทั้ง 4 เส้นว่าสภาพของดอกยางมีการสึกหรอสม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าไม่สม่ำเสมอแสดงว่าช่วงล่างและศุนย์ล้อน่าจะมีปัญหาสังเกตยางมีการปริแตก หรือฉีกขาดหรือเปล่า ยางยี่ห้อเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้งหมดหรือไม่ เพราะยางแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น จะมีการออกแบบมาใช้งาน และการบรรทุกจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับการผลิตของยางยี่ห้อนั้นๆ ถ้าใช้ยางผิดประเภทจะทำให้เกิดอันตรายได้
6.3 ระยะฟรีพวงมาลัยจะต้องมีเล็กน้อย ถ้ามากเกินไปเป็นไปได้ว่า ลูกหมากจะมีปัญหา
6.4 ถ้าสามารถทำการตรวจสอบใต้ท้องรถได้ ให้ดูว่ามีการผุกร่อนของตัวถังบริเวณใต้ท้องหรือไม่ แซสซีส์ต้องตรงไม่การ บิดเบี้ยว ผุ หรือทีรอยเชื่อมที่เกิดจากการหักของแซสซีส์

7. การทดสอบโดยการขับขี่ ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกขับตามสภาพถนนหลายๆ แบบ
7.1 ทดสอบระบบรองรับว่าทำงานได้ดีหรือไม่ เช่นโช๊คอัพ, สปริง, แหนบ ขณะทำการวิ่งทดสอบว่ามีเสียงดังเกิดจากช่วงล่างหรือไม
7.2 ขณะทำการเร่งเครืองยนต์ มีเสียงดังเกิดขึ้นผิดปรกติหรือไม่
7.3 ขณะรถวิ่งมีเสียงเข้ามาในห้องโดยสารมากน้อยเพียงใด
7.4 เวลาวิ่งด้วยความเร็วสูงรถควรมีการเกาะถนนที่ดีพอ และจะต้องไม่มีอาการส่ายหรือโครงไปมา
7.5 ทดลองเลี้ยวซ้ายและขวาดูว่า ช่วงล่างเกิดเสียงดังหรือไม่
7.6 การทำงานของเบรกระบบ ABS ทำงานเป็นปกติหรือไม่ โดยทำงานของเบรก ABS ขณะเบรกแบบกระทันหันจะมีการเคลื่อนตัวขึ้นลงแป้นเบรกเป็นระยะ ในขณะที่ไม่ได้ถอนเท้าออกจากแป้นเบรก ถ้ามีแสดงว่าเป็นปกติ
7.7 ทดสอบศูนย์ขณะรถวิ่ง ว่าดึงไปมาข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ และพวงมาลัยตรงพอดีหรือไม่
7.8 การตัดต่อของคอมเพรสเซอร์แอร์ขณะขับขี่มีเสียงดังเป็นปกติหรือไม่ หากมีเสียงดังเกินไปอาจเกิดจากลูกปืนคลัทช์หน้าคอมเพรสเซอร์แอร์ชำรุด
7.9 หลังจากขับทดสอบแล้วให้ติดเครื่องทิ้งไว้สักครู่ เพื่อดูความผิดปกติอีกครั้ง

8. การดูเอกสารเล่มทะเบียนรถยนต์
เราจะรู้ประวัติของรถยนต์เบื้องต้นได้โดยการตรวจสอบดูจากเล่มทะเบียนรถยนต์ จะทำให้ทราบว่ารถคันนี้ผ่านการใช้งานมาแล้วกี่ราย มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์และสีของรถยนต์หรือเปล่า ควรเลือกซื้อรถที่ผ่านการใช้งานมามือเดียว หรือจากเจ้าของคนเดียว จะช่วยให้เราสามารถซักถามประวัติการใช้รถได้ เอกสารที่ควรใส่ใจมากที่สุด คือสมุดจดทะเบียนไม่ควรมีการแก้ไขโดยไม่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ขนส่ง กำกับ หากสมุดจดทะเบียนมีข้อน่าสงสัยไม่ควรทำการซื้อขายรถคันดังกล่าว

แต่พอจะสรุปสุดท้ายก็คงต้องดูที่ราคาว่าเหมาะสมกับรถไหม เพราะการซื้อรถมือสองก็ต้องดูตามสภาพความเป็นจริงว่าสภาพรถขนาดนี้ ราคาก็น่าจะอยู่ประมาณนี้ เพราะถ้าจะเอารถมือสองคุณภาพเทียบเท่ารถใหม่ จะให้ราคาถูกก็คงหาได้ยากหรือหาไม่ได้เลย เพระาฉะนั้นควรระลึกไว้ด้วยว่าของถูกและดีไม่มีในโลก ควรเลือกแบบที่เหมาะสมกับราคาตามสภาพรถ และวัตถุประสงค์ของการใช้งานครับ




จาก http://www.phithan-toyota.com

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วิธีการดูสีรถมือ2

จะรู้ได้ยังไงว่ารถมือ 2 ที่เราสนใจนั้น ยังเป็นสีเดิมจากโรงงานหรือไม่?
ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถมือ 2 ยังคงเป็นที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักไม่พ้นเรื่องสนนราคาที่สบายกระเป๋ากว่ารถใหม่ ซึ่งก็เหมาะสำหรับคนที่งบจำกัดหรือ อยากประหยัดงบ แต่ก็จะมีบ้างที่จับจองเพราะความชอบส่วนตัว (เงินไม่ใช่ปัญหาแต่ถูกใจว่างั้น) ทำให้รถที่เจ้าของเก่าเบื่อหรือมีความจำเป็นต้องปลดออก ได้หมุนเวียนเปลี่ยนมือไปเป็นมือ 2, 3 หรือกว่านั้น ตามความต้องการของตลาดอย่างไม่
ขาดสาย ส่วนจะเปลี่ยนมือเร็วมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความนิยมของรถรุ่นนั้นๆ ครับ


ขึ้นชื่อว่าเป็นรถมือ2 นั้นมันก็ต้องผ่านการใช้งานอยู่แล้ว ส่วนจะโทรมมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับที่อายุของรถ, การขับขี่ และการดูแลรักษาของเจ้าของเดิมครับ แต่ประเด็นแรกนั้นไม่เท่าไหร่ครับ เพราะถึงจะอายุเยอะแต่ว่าถ้าเจ้าของเก่าดูแลดีๆ สภาพสวยๆ ก็ยังมีให้เห็นกันอยู่ไม่ใช่น้อยเลยล่ะครับ ว่าแต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ารถคันที่เราหมายปองนั้น ยังจะคงสภาพตัวถังเดิมๆ ตั้งแต่ออก
จากโรงงาน โดยไม่แปดเปื้อนซึ่งสีโป๊วหรือสนิม ซึ่งถูกปกคลุมด้วยสีใหม่?


ที่พอจะสังเกตได้ด้วยตาเปล่าก็คือ สภาพโดยรวมของสีเมื่อเทียบกับ อายุของตัวรถ เพราะถ้าเป็นรถที่มีอายุเยอะๆ ก็ต้องมีบ้างที่สีจะซีดไปตามกาลเวลา (ผ่านมากี่ตั้งร้อนกี่ฝนล่ะนั่น) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องสม่ำเสมอทั่วทั้งคันด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่ามีฝากระโปรงหน้าเงาฉ่ำแบบรถใหม่ แต่ทั้งคันสีซีดหมดแล้ว อย่างนี้มันน่าเชื่อมั๊ยล่ะ? ซึ่งก็รวมไปถึงความผิดเพี้ยนของสีโดยรวมด้วยครับเพราะว่าถ้ามีชิ้นไหนหรือชิ้นส่วนนั้นผ่านการทำสีมาแล้ว



ที่มา www.thaicartrick.com

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทำอย่างไรเมื่อต้องขายรถตัวเอง

การขายรถคันเดิม อาจดูเหมือนทำได้ง่าย ถ้าไม่เน้นว่าต้องได้ราคาดีที่สุด แต่ถ้าอยากได้เงินมากที่สุด บทความนี้อาจมีประโยชน์


เหนื่อยน้อยได้ราคาแย่ เหนื่อยมากได้ราคาดีเป็นสัจธรรมง่ายๆ คล้ายกับกรณีเสียเงินซื้ออะไรก็ตาม ถ้าเหนื่อยน้อยมักจะซื้อในราคาแพง แต่ถ้าเหนื่อยมาก ตระเวนเปรียบเทียบราคาไปเรื่อยๆ ก็มักจะได้ราคาถูก


ถ้าไม่อยากเหนื่อย แล้วยอมได้เงินน้อยลงไปสัก 1-3 หมื่นบาทในรถที่เหลือราคา ณ วันที่ขายคันละไม่กี่แสนบาท หรือเงินหายไปเป็นครึ่งแสนในรถที่ราคาแพงกว่านั้น ก็เปิดหาประกาศคนรับซื้อรถตามหน้านิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ได้เลย บริการมาซื้อถึงที่ สะดวกรวดเร็ว สามารถรับเงินสดหรือนัดจ่ายเงินที่ธนาคารได้เลย


แน่นอนว่าจะถูกกดราคา เพราะเขาก็ต้องนำไปขายต่อเอากำไรอีกต่อหนึ่ง แต่ถ้ารถมีสภาพดีจริงๆ แล้วต้องการขายอย่างสะดวกแบบนี้ ก็พอจะเล่นตัวดันราคาให้สูงขึ้นได้ (แต่ก็ยังน้อยกว่าประกาศขายเอง) เพราะปัจจุบันนี้แวดวงผู้ค้ารถมือสองแย่งกันหาซื้อรถกันมาก ถ้านัดหมายหลายๆ รายมารับซื้อพร้อมกัน แล้วรถที่จะขายมีสภาพดี บางครั้งพบเห็นว่าแทบจะประมูลราคาแย่งกันซื้อเลยก็มี


ประกาศขายเองได้ราคาดีกวา สะดวกด้วยสารพัดสื่อ แต่เสียเวลานัดหมาย และอาจหัวเสียจากคำติติงหรือผิดนัด โดยมีสารพัดวิธีประกาศหาผู้ซื้อ เช่น 
  • ติดประกาศบนกระจกด้านในของตัวรถให้อ่านจากภายนอกได้อย่างชัดเจน ขับใช้งานตามปกติ มีข้อดี คือ คนเห็นมาก และคนที่สนใจจะมั่นใจว่ารถมีสภาพดีพอสมควร เพราะมีการใช้งานตามปกติ แต่อาจดูตลกสำรับบางคน รถหมดสวยด้วยกระดาษปิดกระดาษเลอะเทอะ
  • นำรถไปจอดนิ่งในเส้นทางที่ปลอดภัย และมีคนสัญจรผ่านไปมา ติดป้ายประกาศขนาดใหญ่ที่กระจก หรือวางกล่องปิดประกาศพร้อมรายละเอียดสั้น ๆ บนหลังคารถ
  • แจ้งลงประกาศฟรีในนิตยสารรายสัปดาห์หรือหนังสือพิมพ์ ถ้าอยากเพิ่มความเด่นก็เสียเงิน แล้วจะได้พื้นที่ประกาศโดยเฉพาะหรือลงรูปให้ด้วย ค่าใช้จ่ายไม่กี่ร้อยบาทถึงพันกว่าบาทต่อคัน มีคนเฝ้าหารถมือสองจากสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ นี้เป็นจำนวนมาก แต่การลงประกาศต้องใจเย็น เพราะถ้าเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ก็ต้องรอตีพิมพ์ออกมาวางแผง หลังแจ้งลงประกาศไปหลายวัน
  • เว็บไซต์-อินเตอร์เน็ต เป็นสื่อซื้อขายสินค้ามือสองที่กำลังมาแรง ได้รับความนิยมทั้งจากผู้ขายและผู้ซื้อ เพราะสะดวกในการลงประกาศ เกือบทั้งหมดลงประกาศได้ฟรี ยกเว้นต้องการเพิ่มความเด่น ส่วนใหญ่ลงประกาศปุ๊บก็ขึ้นแสดงผลให้ทันทีเลย รวดเร็ว มีคนดูมาก และที่สำคัญ เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อด้วย
ตั้งราคาอย่างไรลองให้ผู้ค้ารถมือสองตีราคา แล้วก็พอเดาได้ว่า ราคาขายจากเจ้าของเก่าถึงมือเจ้าของใหม่โดยตรง น่าจะได้แพงกว่านั้นไม่น้อยกว่า 10,000 - 30,000 บาท


ตรวจสอบราคาขายของรุ่นเดียวกันปีเดียวกันจากสื่อสิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ ซึ่งก็ไม่ใช่ราคาตายตัว เป็นแค่ราคากลางเท่านั้น เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาพจริงด้วย แล้วนำมาประเมินเพื่อตั้งราคาขาย


ไม่ต้องตื่นเต้นกับราคาประกาศขายของเต็นท์ ซึ่งส่วนใหญ่แพงสุดขีด เพราะนั่นเป็นราคาตั้ง ยังลดลงได้อีกพอควร ดังนั้น ถ้าเจ้าของเดิมเสียเวลาขายเอง ก็ควรจะได้ทัดเทียมกับราคาของเต็นท์ที่ลดลงสุดๆ แล้ว


การตั้งราคาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ท้ายที่สุดก็พอจะเดาได้ว่า ถ้าตั้งแพงเกินไป ก็แทบจะไม่มีคนติดต่อมาเลย อย่างนั้นก็ต้องลดราคาลง
การตั้งราคารถมือสองในการขายเอง ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าอยากขายได้เร็ว และได้ราคาดี แต่ก็พอจะอ้างอิงราคาจากแหล่งอื่นด้วยวิธีข้างต้นได้


เตรียมรถอย่างไรไม่ได้แนะนำให้ย้อมแมว แต่ควรปรับสภาพให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ล้างทำความสะอาดทั้งภายนอกภายในให้เนี๊ยบที่สุด หากมีร่องรอบหลังเกิดอุบัติเหตุเหลือยู่จนน่าเกลียด ก็ควรส่งไปเข้าอู่ซ่อมสีอย่างประณีต เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่ แม้ทราบดีว่า ซื้อรถมือสองไปแล้วจะต้องตรวจซ่อมก่อนนำไปใช้งาน แต่ก็ชอบมากกว่าถ้าสภาพโดยรวมพร้อมใช้เลย


เตรียมเอกสารใบโอน ใบมอบอำนาจ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดจดทะเบียนรถ โดยถ่ายเอกสารหน้าในของสมุดจดทะเบียนมาไว้กับรถ เพื่อให้ผู้ที่สนใจซื้อดูรายละเอียด ปีจดทะเบียน เลขตัวถัง และเลขเครื่องยนต์ ฯลฯ ว่าตรงตามจริงหรือไม่ ส่วนเอกสารตัวจริงทั้งหมดข้างต้นเก็บไว้ก่อน ถ้าตกลงซื้อขายค่อยเอาออกมา


ถ้าจะผ่อน…ยุ่งยากหากผู้ซื้อมีเงินไม่เพียงพอ ก็ต้องหาแหล่งเงินมาสมทบ หรือไฟแนนซ์นั่นเอง แม้มีมากมายต้องเสียเวลารอรับเงินส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 10 วัน จากขั้นตอนต่าง ๆของไฟแนนซ์ ทั้งเริ่มทำเรื่อง ตรวจสอบสถานะสภาพผู้ซื้อ-ผู้ค้ำประกัน รออนุมัติ นำรถยนต์ไปโอนที่กรมการขนส่งทางบก รอรับเช็คหลังจากนั้นอีก 2-5 วัน


ผู้ขายหลายคนที่ขายรถราคาหลายแสนบาทขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มว่าคนที่สนใจส่วนใหญ่จะไม่มีเงินสดครบตามราคา จึงหันมาขายให้ผู้ค้ารถยต์ที่มีเงินสดมาจ่ายถึงที่พร้อมกับรับเอกสารต่างๆ ใบโอนลอย และรับรถไปเลย ซึ่งสะดวก และฉับไวกว่า


เทิร์นคันเก่าแล้วซื้อคันใหม่ ในกรณีที่ซื้อรถใหม่ การเทิร์นรถคันเก่าเพื่อซื้อคันใหม่ อาจได้ราคาไม่สูงนัก เพราะรถใหม่แต่ละคันกำไรน้อย รถที่รับเทิร์นเข้าไปก็ต้องเอาไปขายต่อแล้วไม่ขาดทุนจากราคาที่รับเทิร์น


แต่สำหรับการเทิร์นคันเก่าเพื่อซื้อรถมือสอง อาจได้ราคาดีไม่น้อยกว่าการขายเองเท่าไรนัก และสะดวกกว่าด้วย ถ้าพอดีว่ารถมือสองคันนั้นเขาอยากขายหรือมีกำไรมาก ก็สามารถเอาถัวเฉลี่ยกับการซื้อคันที่เทิร์นในราคาแพงได้


การขายรถคันเดิมไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องจำไว้ว่า … เหนื่อยน้อยได้ราคาแย่ แต่ถ้าเหนื่อยมากได้ราคาดี 


ที่มา  www.car4ur.com

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการขายรถใช้แล้วทางอินเตอร์เน็ต

การขายรถใช้แล้วผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้น ควรเน้นในสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้ผู้ที่สนใจจะซื้อรถ ได้ ทราบถึงรายละเอียดของรถอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน เพราะหาก มีการพบสิ่งผิดปกติในภายหลัง อาจมีการยกเลิกข้อตกลงที่ได้ทำกันไว้ก็เป็นได้ ซึ่งในการขายรถใช้แล้วผ่านทางอินเตอร์เน็ตนั้น ท่านควรมีรายละเอียดเหล่านี้ระบุลงไปในประกาศขายของท่านด้วย

1. ภาพถ่ายของรถที่ต้องการขาย
เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ในการถ่ายภาพรถของท่าน ประการแรก ท่านควรถ่ายภาพให้เห็นมุมต่างๆของรถอย่างชัดเจน โดยการ จัดรถ ให้ด้านที่เราจะถ่ายอยู่ในทิศที่มีแสงส่องถึง และปริมาณ แสงที่พอเหมาะ เช่น แสงในช่วงเช้า และแสงในช่วงเย็น ประมาณ 16.00 – 18.00 น. หรือท่านที่ไม่สะดวกถ่าย ภาพกลางแจ้ง ท่านสามารถถ่ายภาพในร่มได้ แต่ท่านต้องขยับ รถและหันด้านที่ท่านต้องการถ่ายไปหาแสง ไม่ใช่เดินถ่ายรอบ รถ โดยที่รถอยู่กับที่ เพราะจะมีบางมุมที่เป็นมุมอับแสง หรือไม่ โดนแสง ซึ่งมุมนั้นผู้ที่สนใจจะซื้อรถของท่าน จะไม่สามารถ มองเห็นรายละเอียดของรถได้ ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่กำลังสนใจ จะซื้อรถของท่านเปลี่ยนความตั้งใจไปเลยก็ได้ เพราะผู้ซื้ออาจ คิดว่าท่านกำลังปิดบังรายละเอียดบางส่วนอยู่ ประการที่สอง คือ มุมต่างๆที่ท่านจะต้องถ่ายเพื่อนำมาลงในประกาศขาย เช่น ด้านหน้า, ด้านหลัง, ด้านข้างซ้าย, ด้านข้างขวา, ห้องโดยสาร, มาตรวัด (หน้าปัด), ห้องเครื่องยนต์, ห้องเก็บสัมภาระ และล้อรถยนต์ อันนี้ก็แล้วแต่เว็บไซต์แต่ละเว็บไซต์ ว่าจะสามารถให้ ท่านลงภาพได้กี่ภาพ แต่จำไว้อย่างหนึ่งว่า ลูกค้าที่ซื้อของผ่าน ทางอินเตอร์เน็ต เนื่องจากต้องการความสะดวกสบาย ไม่ต้องออกไปตะลอนหารถตามเต็นท์รถให้สิ้นเปลืองน้ำมัน หากภาพของท่านมีรายละเอียดที่ดีพอ และมากพอ ยิ่งจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

โดยหลักการแล้วภาพจากกล้องดิจิตอลจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนนั้นให้ดูที่จำนวนพิกเซล หากจำนวนพิกเซลมากก็จะสามารถนำไปอัดขยายได้ดี กว่าภาพที่มีจำนวนพิกเซลน้อยๆ เพราะจำนวนพิกเซลจะเป็นตัวกำหนดขนาดและความละเอียดของภาพ ซึ่งจำนวนพิกเซลที่เหมาะสมสำหรับงานประเภทต่างๆ นับวันจะมีมาตรฐานความละเอียดสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเรามาดูกันว่าจำนวนพิกเซลเท่าไหร่จึงจะเหมาะกับงานที่เราต้องการนำไปใช้
ภาพขนาด 300,000 – 1,000,000 พิกเซล เหมาะสำหรับใช้ส่งอีเมล์ หรือประกอบเว็ปไซด์
ภาพขนาด 2 – 3 ล้านพิกเซล เพียงพอต่อการใช้งานอัดขยายภาพขนาด 4 x 6 นิ้ว
ภาพขนาด 4 – 8 ล้านพิกเซล ใช้ในงานอัดขยายภาพขนาดมากกว่า 8 x 12 นิ้วขึ้นไป
ภาพขนาด 10 – 16 ล้านพิกเซล ใช้ในงานพิมพ์ภาพโฆษณาขนาดใหญ่

2. การให้ข้อมูลของรถยนต์ และข้อมูลของผู้ขาย
ข้อมูลของรถยนต์ เช่น เป็นรถยนต์นั่ง 4 ประตู, เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ, กี่แรงม้า, กี่แรงบิด (2 อย่างหลังนี้ถ้าท่าน สามารถบอกได้ก็จะดี แต่ถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไรครับ) ที่สำคัญ อย่าลืมบอกยี่ห้อ, สี, โมเดล และปีของรถ เช่น Corolla AE101R-AEPNK ปี95 เป็นต้น ลักษณะของเกียร์ก็สำคัญ เกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ธรรมดาเช่นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด หรือเกียร์ธรรมดา 5 สปีด บอกลักษณะของการขับเคลื่อนว่า เป็นขับเคลื่อน 2 ล้อหรือขับเคลื่อน 4 ล้อ เช่น ขับเคลื่อน 2ล้อ หน้า (ในรถเก๋ง), ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง (ในรถกระบะหรือในรถเก๋ง บางรุ่น), ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ PART TIME (บางเวลา) หรือขับ เคลื่อนแบบ 4 ล้อ FULL TIME (ตลอดเวลา) ระยะทางที่ใช้มาทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน (เลขไมล์หรือเลขกิโลเมตร) หากรถของท่านยังมีประกันภัยอยู่ควรแจ้งให้ทราบด้วย บอกวันที่ออกรถมาด้วยนะครับหากรถของท่านซื้อมาจากห้าง ซึ่งข้อมูลของรถยนต์นั้นท่านสามารถดูได้จากทะเบียนรถยนต์ หรือดูได้จาก NAME PLATE ของรถยนต์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะติดตั้งอยู่ภายในห้องเครื่องยนต์ หรือตามที่คู่มือการใช้รถระบุไว้ว่าติดตั้งอยู่ที่ใด ข้อมูลของผู้ขาย เช่น ชื่อผู้ขาย, เบอร์โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็น เบอร์บ้าน, เบอร์ที่ทำงาน, เบอร์มือถือ หรืออีเมล์ ข้อมูลเหล่านี้ ลงไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจจะซื้อรถของท่านสามารถที่จะติดต่อซื้อขาย หรือติดต่อขอดูรถของท่านได้อย่างสะดวกและไม่พลาดโอกาสทองในการติดต่อซื้อขาย

3. การให้ข้อมูลทางด้านบวกหรือด้านลบ
การให้ข้อมูลทางด้านบวก เช่น รถของท่านได้มีการติดตั้งวิทยุยี่ห้อดังมา ระบุลงไปเลยครับว่ายี่ห้ออะไร มีการเปลี่ยนขนาดของแม็กซ์หรือยางใหม่ มีการติดตั้งแร็กเก็บของบนหลังคาเพิ่มเติม พึ่งจะติดฟิล์มกันแสงอย่างดีมีใบรับประกัน มีคู่มือการใช้รถ มีการพ่นกันสนิมและเคลือบสีรถตามคู่มือ มีการนำรถเข้าศูนย์บริการอย่างสม่ำเสมอ ตามระยะทางที่คู่มือกำหนด เป็นต้น ซึ่งการบอกข้อมูลในด้านบวกของรถนั้นเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับรถของท่าน

การให้ข้อมูลทางด้านลบ เช่น รถของท่านโดนชนมาตรงไหนบ้าง มีการทำสีหรือเปล่า ฟิล์มลอกหรือไม่ เคยมีการโหลดเตี้ย หรือยกสูงมาหรือเปล่า ซึ่งการบอกข้อมูลในด้านลบนี้ จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของผู้ขาย เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังหากมีการซื้อ-ขายรถกันเกิดขึ้น

4. ภาพรวมหรือข้อจำกัดความที่น่าสนใจ
การให้ข้อจำกัดความที่น่าสนใจของรถ เช่น “รถใช้น้อย เข้าศูนย์บริการเช็คทุกระยะทางที่กำหนด” หรือถ้าเป็นรถที่ผู้หญิงใช้ก็อาจจะบอกได้ว่า “รถผู้หญิงใช้ ดูแลรักษาอย่างดี” อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งการให้คำจำกัดความเหล่านี้ ก็เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของผู้ซื้อ ให้มาสนใจรถที่ท่านต้องการจะขาย ในเบื้องต้นก่อน ประกอบกับภาพถ่ายที่ถ่ายได้อย่างดี ก็จะยิ่งเพิ่มความสนใจให้กับผู้ที่กำลังต้องการจะซื้อรถของท่านมากยิ่งขึ้น

5. การตั้งราคาในการขาย
อันนี้สำคัญครับ การตั้งราคาในการขาย ท่านควรดูจาก ราคากลางของตลาดเป็นหลัก หรือจะดูราคากลางจากเว็บไซต์ต่างๆ เกี่ยวกับราคาของรถมือสองก็ได้ ซึ่งการตั้งราคานั้นนอกจากราคากลางแล้วท่านต้องดูสภาพของรถที่จะขาย ตั้งราคาตามสภาพความเป็นจริงของตัวรถด้วย เพราะถ้าท่านตั้งราคาไว้สูงเกินสภาพความเป็นจริง ก็อาจจะทำให้ผู้ที่กำลังสนใจรถของท่านหมดความสนใจและมองผ่านไปเลยก็ได้ ถึงแม้ว่ารถของท่านอาจจะมีข้อดีอยู่หลายอย่างก็ตาม แต่ถ้าสภาพรถของท่านดี และราคาเหมาะสม ถึงแม้ว่าราคาจะสูงกว่าราคากลางอยู่บ้าง ท่านก็สามารถตั้งราคาตามนั้นได้ โดยท่านอาจจะอ้างอิงราคา
ขายจากช่วงที่สูงสุดของรถรุ่นนั้น ซึ่งช่วงราคาของการขายจะมีทั้งช่วงราคา สูงสุด และราคาต่ำสุดระบุอยู่

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคในการดูรถยนต์มือสอง

เริ่มแรก ในการซื้อรถยนต์มือสอง ผู้ซื้อรถควรจะกำหนดงบประมาณ และ รุ่นที่ตนเองต้องการไว้ก่อน จากนั้นเมื่อได้รุ่นที่ตนเองต้องการ เต็นท์รถจะเป็นแหล่งความรู้พื้นฐานที่ดีสำหรับผู้ซื้อรถครับ สิ่งที่ผมต้องการให้ดูคือ “เครื่องยนต์” เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ผู้ซื้อรถส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่า รถรุ่นไหน มีเครื่องยนต์รุ่นไหน ดังนั้นเวลาดูพยายามจำ เครื่องยนต์ให้ได้ก่อนครับ เพื่อที่เวลาซื้อจริงๆ จะได้ไม่โดนรถที่เปลี่ยนเครื่องยนต์มา นอกจากนั้น ก็พยายามถามราคาและจำอุปกรณ์เสริมต่างๆ ด้วยก็ดีครับ ลองเปรียบเทียบสัก 2-3 คัน คุณก็จะได้ข้อมูลตรงส่วนนี้แล้วครับ

ขั้นที่สอง เริ่มหารถที่ต้องการ โดยส่วนใหญ่แล้ว ราคารถบ้านจะถูกกว่ารถเต็นท์ แต่บางคันก็ไม่ใช่ เนื่องจาก ราคารถเต็นท์ มักจะอิงจากราคากลาง บวก กำไร แต่ราคารถบ้าน มักจะตั้งตามความต้องการของผู้ขาย ดังนั้นเวลาหารถ ให้พิจารณาราคาประกอบด้วยครับ พยายามหาจากหลายๆ แหล่งเช่น จากเต็นท์รถ, หนังสือรถ, ตลาดรถ หรือรถที่ประกาศขายตามเวบไซค์ต่างๆ ถึงตรงนี้คุณจะได้รถที่เป็นตัวเลือกไว้แล้วครับ

ขั้นที่สาม ไปดูรถ เวลาไปดูรถ ถ้าเป็นคุณผู้หญิงแนะนำว่าไม่ควรไปเพียงคนเดียวครับ และสถานที่ดูนั้น ควรจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยด้วยนะครับ ส่วนวิธีการดูรถแบบง่ายๆ ก็มีขั้นตอนดังนี้ครับ
1. ดูเครื่องยนต์และอุปกรณ์เสริมต่างๆ เปรียบเทียบ กับข้อมูลที่คุณมีครับ ถ้าไม่ตรงกันก็ลองถามผู้ขายดู ถ้าไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนก็ไม่ควรซื้อครับ
2. รถบางคันก็จะติดเครื่องเสียงมาใหม่ และมักจะอ้างราคาเครื่องเสียง เพื่อเพิ่มราคารถ ตรงนี้ต้องพิจารณาให้เองว่า คุ้มหรือเปล่า เช่น ติดมา 1 แสน จะมาบวก 1 แสนก็เกินไปครับ
3. ดูใต้ท้องรถ เช่น คัดซี มีการตัดต่อหรือเปล่า ยางหุ้มต่างๆ และรอยน้ำมันที่อาจจะรั่วหรือซึม ครับ ปกติ ใต้ท้องรถนี่อาจจะไม่ค่อยได้ดูกัน เพราะไม่สะดวก วิธีง่ายๆอีกอย่างคือ ดูสถานที่ที่รถจอดว่ามีรอยน้ำ หรือ น้ำมัน ที่พื้นหรือเปล่าครับ
4. ดูว่ารถเคยเกิดอุบัติเหตุมาหรือไม่ วิธีดูก็ใช้หลักง่ายๆครับ คือ “ดูที่ตะเข็บ” ครับ รถที่ออกจากโรงงานรอยตะเข็บต่างๆ จะดูเป็นระเบียบ แต่ถ้าชนมา และมีการซ่อม รอยตะเข็บจะดูไม่เรียบร้อย สามารถดูรูปประกอบได้ครับ
ดยบริเวณที่รถมักจะชนคือ
ด้านหน้า เปิดฝากระโปง หน้า แล้วดูรอยตะเข็บ ตามแนว ขอบรถด้านข้าง ตามลักษณะการชนคือ
- ชนมุม รอยตะเข็บที่มุม จะไม่เรียบร้อย
- ชนตรงๆ รอยตะเข็บที่มุมทั้ง 2 ฝั่ง จะไม่เรียบร้อย
- ชนด้านข้าง ให้ดูรอยตะเข็บด้านข้าง จะไม่เรียบร้อย
- ถ้าชนหนักจนยุบมาถึงห้องเครื่อง ให้ดูรอยตะเข็บตามรูป จะไม่เรียบร้อย
- ถ้าชนไม่แรง ให้สังเกตุกันชน จะไม่พอดีการโครงรถ เช่น มีช่องว่างเกิดขึ้น
ด้านหลัง เปิดกระโปงหลัง และเปิดผ้าคลุมขึ้น แล้วดูรอยตะเข็บที่เรียกว่า “รอยแปรงปัด”
วิธีการดูเหมือนกับด้านหน้าทุกอย่าง แต่ถ้าชนหนัก ให้ดูที่รอยแปรงปัด ครับจะไม่เป็นระเบียบ
ด้านข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง เปิดประตูออก ให้หมด แล้วดูความเรียบร้อยของโครงสร้างครับ
โดยปกติจะดูยากครับ เพราะจะไม่มีรอยตะเข็บให้ดู ถ้าไม่แรงมาก ความเสียหายมักจะไม่ถึงตัวโครงรถ จะเสียหายเพียงประตู สำหรับความคิดของผม ถือว่า ไม่เป็นเรื่องใหญ่ครับ แต่ถ้าต้องการดูก็ลองดูรอยตะเข็บบริเวณขอบประตูและตัวบานพับครับ
หลังคา (เกิดจากการพลิกคว่ำ) เปิดประตูออกแล้วดูรอยตะเข็บ บริเวณ คานหน้ารถ เพราะปกติ ถ้ารถพลิกคว่ำแล้ว มักจะยุบบริเวณคานหน้ารถ
5. ทดลองขับ ส่วนที่ต้องดูคือ
- ลองขับแล้วปล่อยพวงมาลัยดูว่ามีการกิน ซ้าย หรือ ขวา หรือเปล่า ถ้ามีลองเข้าศูนย์ ตรวจสอบดู เพราะอาจจะเกิดการชนแล้วทำให้ศูนย์เสียได้
- ดูว่าเครื่องมีปัญหาหรือเปล่า หลัก ง่ายๆ คือ ไม่ควรสั่น , เดินเรียบ และควันที่ออก ไม่ควรดำ (สำหรับรถดีเซล) หรือ ขาว (สำหรับรถเบนซิล)
- สังเกตเกียร์ ถ้าเกียร์ Auto เวลาเปลี่ยนมีการกระตุก หรือเปล่า ส่วนเกียร์ ธรรมดา ให้ลองว่า เข้าเกียร์ยากหรือเปล่า
- สังเกตระบบปรับอากาศว่า ใช้งานได้ดีหรือเปล่า
- ระบบไฟต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ไฟหน้า ไฟหลัง และไฟในห้องโดยสาร
- เบาะนั่งทุกตัว โยก หรือเปล่า
- เข็มขัดนิรภัย ยังใช้ได้หรือเปล่า โดยการดึงแรงๆ ถ้าดึงแล้วติด ถือว่าใช้ได้

ขั้นสุดท้าย จ่ายเงิน โอนรถ ไม่ควรใช้วิธีโอนลอย คือ จ่ายเงิน แล้วก็จบ ไม่ไปโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถ สละเวลาเพียงครึ่งวัน หรือให้บริษัทที่รับโอนแทน จัดการ เพื่อความถูกต้องและไม่เกิดปัญหาทีหลังครับ



จาก www.motor2car.com

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การดูแลหลังซื้อรถยนต์มือสอง

เป็นไปได้ยากที่เราจะทราบว่า รถที่เราซื้อมานั้นได้รับการดูแล ซ่อมแซมมาในจุดใดแล้วบ้าง จะมานั่งดู Book Service ก็เป็นเรื่องใหญ่ มักอ่านไม่รู้เรื่อง หรือไม่มีมา ครั้นจะมาเย็นใจซื้อมาแล้ว ใช้ๆไปก่อน เดี๋ยวค่อยเช็คทีหลัง พอดีรถสุดที่รักก็เกิดปัญหา (เจ๊ง) เสียก่อน หลังจากที่เราได้ซื้อรถมาครอบครองแล้ว เราควรนำรถไปเช็ค หรือเปลี่ยนในจุดใดบ้าง เป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า เสียเงิน เสียเวลา เสียอารมณ์ เสียกิ๊ก (กรณีไม่มีรถไปรับ ไม่รู้เกี่ยวหรือเปล่า) รับประกันหมดปัญหากังวนใจในภายหน้า มาเริ่มกันเลยครับ
ระบบสารหล่อลื่นทั้งหมด
น้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, ไส้กรองน้ำมันเครื่อง เสียใหม่ และทำการจดบันทึก เลขกิโลเมตรที่ใช้งาน ส่วนมากน้ำมันเครื่องเกรดทั่วๆ ไป จะมีอายุการใช้งานที่ 5,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเป็นพวก สังเคราะห์ และกึ่งสังเคราะห์จะอยู่ได้กว่า 10,000 กิโลเมตร และคอยตรวจเช็คระดับหลังใช้งานอยู่เรื่อยๆ น้ำมันเครื่องที่พร่องลงไปในระหว่างใช้งานจะ มากหรือน้อยนั้น หมายถึงความหลวมของเครื่องยนต์ เป็นการประเมินได้ว่าเครื่องจะต้องได้รับการซ่อมแซมต่อไปอย่างไร
น้ำมันเกียร, น้ำมันเฟืองท้าย ไม่ว่าจะเป็นเกียรออโต้ หรือเกียรธรรมดาจะมีอายุการใช้งานที่ 25,000 – 50,000 กิโลเมตร ควรตรวจเช็คระดับ ว่าขาดหายหรือไม่ ถ้าเก่ามากควรได้รับการเปลี่ยนถ่าย หรือถ้ารั่วควรรีบซ่อมแซมโดยด่วน
น้ำมันเบรก ถือเป็นสารหล่อลื่นในระบบเบรก ควรได้รับการเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 1-2 ปี ถ้าเห็นว่าน้ำมันมีสีคล้ำ ควรเปลี่ยนถ่าย เพราะอาจทำให้ลูกยางเบรก และแม่ปั้มเสียหายก่อนกำหนด
น้ำมันครัช ควรเปลี่ยนถ่ายพร้อมๆ น้ำมันเบรก และเป็นการตรวจสอบรอยรั่วของแม่ปั้มครัช ว่ามีอาการรั่วซึมหรือไม่ เพื่อป้องกันลูกยางครัชแตก ถึงกับเข้าเกียรไม่ได้
น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ปกติจะต้องได้รับการเปลี่ยนถ่ายทุกๆ 1-2 ปี น้ำมันที่เก่ามากๆ จะทำให้ปั้มน้ำมัน และ แร็คพวงมาลัยสึกหรอเร็วกว่ากำหนด น้ำมันเพาเวอร์ที่เก่าจะเป็นสีแดงจางๆ
น้ำมันกระปุกพวงมาลัย สำหรับรถกะบะพวงมาลัยธรรมดา น้ำมันกระปุกพวงมาลัยควรได้รับตววจเช็ค ถึงระดับน้ำมัน ถ้าขาดควรเติมเพิ่ม
ระบบหล่อเย็น
น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ ตามปกติน้ำยาหล่อเย็นจะต้องใช้เครื่องวัดสภาพ น้ำยาหล่อเย็นที่เสื่อมสภาพจะทำให้ หม้อน้ำเกิดสนิม เกิดการผุกร่อน ท่อยางน้ำบวม และปั้มน้ำเสียหาย ถ้าไม่แน่ใจทำการเปลี่ยนเสียใหม่ดีกว่า และ ควรใช้น้ำยาที่มีคุณภาพ ความเข้มข้นตามที่โรงงานกำหนด ใช้น้ำสะอาดบริสุทธิ์ พวกน้ำกรอง อย่างน้ำดื่ม (ไม่ต้องถึงขั้นน้ำกลั่นหรอกครับ)
ตรวจเช็คสภาพหม้อน้ำ และรอยรั่ว เมื่อเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำแล้ว ควรตรวจเช็ครอยรั่วของหม้อน้ำไปในตัว หม้อน้ำที่เป็นพลาสติก ถ้าฝาครอบพลาสติกเริ่มมีรอยร้าว (แตกลายงา เหมือนพระเครื่อง) รีบเปลี่ยนทันที หรือซ่อมแซมเป็นแบบทองเหลืองจะทนกว่า ถ้าสภาพหม้อน้ำเก่า มีรอยรั่ว ครีบหม้อน้ำล้มชำรุด หรือมีขี้เกลือเกาะมาก ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งลูกจะดีกว่า
ท่อยางน้ำหล่อเย็น พวกนี้มีอายุการใช้งาน 4 – 5 ปี ท่อน้ำที่เริ่มเสื่อมสภาพ จะมีลักษณะบวมไม่เข้ารูป ท่อน้ำเริ่มนิ่ม หรือมีรอยร้าว ท่อน้ำแข็งตัวบิดไปมาไม่ได้ พวกนี้พร้อมแตกรั่วทันที รวมถึงท่อน้ำหล่อเย็นบริเวณเครื่องยนต์ทุกเส้น
ปั้มน้ำ อายุการใช้งานที่ 100,000 กิโลเมตร หรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับสภาพ สนิมในหม้อน้ำที่มีคุณสมบัติ กัดกร่อนซีลปั้มน้ำ ถ้าคิดว่ารถที่ซื้อมาวิ่งเกิน 100,000 และยังไม่ได้เปลี่ยนให้ถือเป็นชิ้นส่วน ที่ควรเปลี่ยนใหม่ได้เลย
พัดลมไฟฟ้าหม้อน้ำ พวกนี้มีอายุการใช้งานเหมือนกัน ถ้ารถวิ่งเกิน 100,000 กิโล แล้วมักจะได้ต้องเปลี่ยนทุกคัน อาการเสียมักจะเกิดจาก ถ่านมอเตอร์หมด บูชพัดลมแตก หรือลดมอเตอร์ช็อต พวกนี้จะทำให้พัดลมหมุนช้าลง ไม่มีแรง การระบายความร้อนไม่เพียงพอ ควรหาช่างที่มีความชำนาญตรวจเช็ค
พัดลมฟรีปั้ม พวกรถกระบะพัดลมระบายความร้อนจะใช้ระบบ น้ำยาเพิ่มความหนืด ตามอุณหภูมิเครื่องยนต์ น้ำยาที่เริ่มเสื่อมสภาพ จะทำให้พัดลมหมุนฟรีมาก การระบายความร้อนหม้อน้ำ และ แผงคอยล์ร้อนแอร์ไม่เพียงพอ ต้องทำการเปลี่ยนน้ำยาเสียใหม่
ระบบเครื่องยนต์
สายพานไทมมิ่ง เป็นสายพานขับชุดเพลาราวลิ้นของเครื่องยนต์ ส่วนมากจะมีอายุการใช้งานที่ 80,000 – 150,000 กิโลเมตร การจะมาดูที่เลขหน้าปัด ชื่อถือได้น้อยมาก ดังนั้นสำหรับสายพานไทมมิ่ง แนะนำให้เปลี่ยนทันทีหลังซื้อรถ เพราะการที่สายพานไทมิ่งขาด หมายถึงการที่ต้องอาจเปลี่ยนเครื่องใหม่ หรือการซ่อมแซมกันหลักหมื่น ได้ง่ายๆ
สายพานหน้าเครื่อง, ไดชาร์จ, แอร์, ปั้มน้ำ เพาเวอร์ สายพานพวกนี้สามารถตรวจเช็ค รอยร้าว ความแห้งกรอบ และระยะความตึงของสายพาน ถ้ายังใช้งานได้ก็ทำการตั้งให้ได้ระยะ ก็เพียงพอ
จุดรั่วซึมน้ำมันเครื่อง สังเกตได้ง่ายๆที่ตัวเครื่องยนต์ ถ้ามีคราบเหนียวๆ หรือมีน้ำมันหยดบริเวณที่จอดรถ หมายถึงการมีน้ำมันเครื่องรั่วซึม อาจจะเกิดจากซีล ยางต่างๆ หรือการหลวมพร้อมที่จะหลุดของอุปกรณ์บางอย่าง ไม่ควรใจเย็น รีบหาช่างตรวจหา และซ่อมแซมเสียแต่เนิ่นๆ
ใส้กรองอากาศ สังเกตดูความสกปรก ถ้าไม่มากพอเป่าทำความสะอาดได้ หรือถ้าอุดตันเปลี่ยนใหม่ดีกว่า ทำให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงพวกกรองเบนซิล กรองหัวฉีด หรือกรองโซล่า เปลี่ยนใหม่ และเริ่มจดบันทึกการใช้งาน
ระบบเบรก
ผ้าเบรก เป็นส่วนหนึ่งหลังจากซื้อรถมากแล้ว พลาดไม่ได้ เรียกได้ว่า ไปไม่ถึง ยังดีกว่าเบรกไม่อยู่ ให้ช่างตรวจสอบความหนาของผ้า เพื่อกำหนดระยะเปลี่ยน และตรวจสอบสภาพต่างๆ เกี่ยวกับเบรกไปในตัว
สายอ่อนเบรก ส่วนมากเป็นสิ่งที่ทุกคนมักมองข้าม แต่ส่งผลถึงอาการเบรกแตกได้ง่ายๆ ถ้าเก่าให้รีบเปลี่ยนอย่างน้อยก็ยังอุ่นใจ ใช้ได้ตั้งหลายปี
ระบบช่วงล่าง
เป็นระบบที่ควรหาช่างตรวจเช็ค ตั้งแต่ ช็อค และ สปริง ลูกหมากบังคับเลี้ยว ยอยเพลากลาง ลูกปือนล้อ บูชยางต่างๆ แร็คพวงมาลัย รวมถึงลูกยางหุ้มเพลาขับ ยางหุ้มแร็ค ถ้าเสียหรือขาดควรได้รับการซ่อมแซมทันที เพราะพวกนี้มักจะส่งพลถึง สมรรถนะการขับขี่ และความสามารถในการเกาะถนน เป็นอันตรายมากๆ สำหรับชิ้นส่วนที่หลวมมากจน เกิดการหลุดแตกออกมาระหว่างการขับขี่
ล้อ และยาง
อายุการใช้งานของยางรถยนต์อยู่ในหลักไม่เกิน 4 ปี ก่อนที่จะเกิดอาการบวม แตกลายงา ยางที่เก่าประสิทธิภาพในการเกาะถนน การรีดน้ำ และการเบรกจะสูญเสียไปในทุกขณะ ควรตรวจเช็ดวันเดือนปีที่ผลิตของยาง ถ้ายางยังใช้งานได้ดี ให้จดบันทึก และทำการสลับล้อยางตามคู่มือรถ หรือทุกๆ 10,000 – 20,000 กิโลเมตร
ระบบไฟฟ้า
อีกระบบหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ มีอยู่มากรถที่ซื้อมาช่วงแรกๆ อาจเกิดปัญหามาจากระบบสายไฟ โดยเฉพาะพวกสายไฟต่อเติม เช่นเครื่องเสียง ไฟหน้า สปอร์ทไลท์ หรือพวกอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ซึ่งได้มีการถอดเข้า ออก พวกนี้มักจะเกิดปัญหาลัดวงจร ไฟไหม้ หรือเครื่องดับได้ง่ายๆ ควรหาช่างไฟ (เก่งๆ) ตรวจความเรียบร้อย หรือถอดสายที่ไม่จำเป็นออกให้หมด และควรตรวจเช็คสภาพความพร้อมของกล่องฟิวส์ และฟิวส์สำรอง รวมถึงไดชาร์จ และได้สตารท์ให้เรียบร้อย
แบตเตอร์รี่ และน้ำกลั่นแบตเตอร์รี่
อันดับแรก ควรตรวจเช็คระดับน้ำกลั่น ในแบตเตอร์รี่ ควรอยู่ในระดับที่กำหนด และตรวจหา วัน – เดือน – ปี ที่หมดอายุของแบตเตอร์รี่ ส่วนมากแบตเตอร์รี่แบบเติมน้ำกลั่นจะมีอายุการใช้งาน ไม่เกิน 2 ปี ถ้าไม่แน่ใจถึงอายุของแบตเตอร์รี่ ให้เรียบเปลี่ยนเสียก่อนดีกว่า ไปจอดที่ไหนแล้วสตารท์ไม่ติด
ระบบแอร์
อย่างแรกควรหาช่างถอดตู้แอร์ ออกมาล้างทำความสะอาด เพราะตู้แอร์ที่รั่ว มักเกิดจากสิ่งอุดตันเข้าไปกัดกร่อนจนคอยล์เย็นเสียห าย ควรล้างออกเสียบ้าง และตรวจเช็คข้อต้อ โอริง ท่อน้ำยาแอร์ ต่างๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด ปัญหาเรื่องตู้อบเคลื่อนที่
วันต่อภาษี และ พ.ร.บ.
เป็นสิ่งสำคัญที่มักจะลืมเลือน เราต้องตรวจดูว่า ภาษีรถยนต์ประจำปีจะหมดใน วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร เพราะอาจทำให้ต้องมาเสียค่าปรับ เสียเวลากันอีกครับ
อย่างที่กล่าวมา การดูแลรถยนต์มือสอง ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากหรือน่ากลัวอย่างไร ถ้าเรารู้จักดูแลรักษา เช็คสภาพหลังใช้งานบ่อยๆ รถสุดที่รักของคุณก็เป็นพาหะนะที่รู้ใจ ใช้งานไปอีกยาวนาน

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการขับขี่รถยนต์ให้ได้เปรียบเชิงกล

ในโลกปัจจุบันมีผู้ใช้รถใช้ถนนกันเป็นจำนวนมากเเละ มีพฤติกรรมการขับรถยนต์ที่เเตกต่างกันไปครับ เมื่อคุณได้อ่าน บทความนี้เเล้ว ลองสำรวจตัวเองเเละคนรอบข้างดูนะครับ  ว่ามีพฤติกรรมการขับรถเป็นอย่างไร  ขับเเล้วรู้จักถนอมรถหรือเปล่าหรือขับแล้วสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติหรือเปล่า  ในบทความนี้คุณจะได้รู้ถึงหลักการง่ายๆ ในการขับรถยนต์ให้ได้เปรียบเชิงกลและไม่เสียเปรียบเชิงกล สามารถขับรถยนต์ได้อย่างชาญฉลาดและมีความปลอดภัยครับ เราจะแบ่งได้เป็น 5 กรณีง่ายๆครับ เราลองมาดูกันนะครับว่าคุณจะทำได้หรือเปล่า



  • 1. ในกรณีที่รถยนต์ของคุณติดไฟแดงเป็นเวลาค่อนข้างนาน ไม่ควรเหยียบเบรคแช่ไว้ตลอดเวลา ควรใส่เบรคมือไว้เพื่อผ่อนคลายความล้าของขาและช่วยยืดอายุหลอดไฟเบรค และสวิตช์ไฟเบรค ตลอดจนช่วยประหยัดพลังงานรถยนต์ของคุณด้วยครับ ถ้ารถยนต์ของคุณใช้เกียร์อัตโนมัติก็ควรโยกคันเกียร์ไปที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง (เกียร์ N) และใส่เบรคมือเช่นกันนอกจากข้อดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อดีอีกข้อครับคือ จะช่วยลดความร้อนที่เกิดในน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งถ้าน้ำมันร้อนจัดแล้วจะทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็วขึ้นครับ




  • 2. ในกรณีที่คุณขับรถบนถนนเปียก ความเสียดทานระหว่างยางกับถนนจะลดลงประมาณครึ่งหนึ่งของถนนแห้ง ดังนั้นการยึดเกาะถนนไม่ดีเท่ากับถนนแห้งโอกาสที่ล้อจะล็อคตายและลื่นไถลไปบนถนนจึงมีสูงมากครับ ดังนั้นจึงต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังและอย่าใช้ความเร็วสูงเป็นอันขาด เพราะอุบัติเหตุที่พบเห็นอยู่เสมอมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีฝนตกจนถนนเปียกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ  ฝุ่นบนถนนจะผสมกับน้ำฝนจนเป็นเมือก ซึ่งมีความลื่นมากเป็นพิเศษครับ




  • 3. ในกรณีที่คุณเหยีบเบรคอย่างกะทันหันจนล้อล็อคตายคุณจะไม่สามารถควบคุมการเลี้ยวของรถยนต์ได้ครับ รถยนต์จะเลื่อนไหลไปตามแรงเฉื่อยของรถยนต์โดยที่ยางเสียดสีไปบนถนนเป็นทางยาว เรื่องนี้เป็นอันตรายมากครับดังนั้นถ้ารถยนต์ของคุณไม่ได้ใช้เบรค ABS คุณอาจลดการล็อคตายของล้อได้ (เพราะในขณะที่คุณกำลังเบรค คุณสามารถรู้สึกได้ว่าล้อกำลังจะล็อคตาย) โดยอาจผ่อนเบรคเล็กน้อยแล้วจึงเหยียบเบรคลงไปใหม่อย่างรวดเร็วจะช่วยได้ครับ




  • 4. ในกรณีที่คุณขับรถลงทางชันซึ่งมีความลาดชันค่อนข้างมากคุณควรใช้เกียร์ต่ำเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยในการเบรค ซึ่งในทางวิศวกรรมเราเรียกว่า การเบรคด้วยเครื่องยนต์ (ENGINE BRAKE) แต่ถ้าคุณไม่ใช้การเบรคด้วยเครื่องยนต์ (อาจเป็นเพราะว่าความเคยชินหรือ กลัวเครื่องพัง หรือกลัวเปลืองน้ำมัน) อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ คุณก็จะต้องคอยเหยียบเบรคไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ความเร็วของรถยนต์เพิ่มสูงเกินไปใช่มั้ยครับ การกระทำเช่นนี้จะมีผลเสียต่อระบบเบรค คือ เบรคจะสึกหรอเร็วกว่าปกติ เบรคจะร้อนจัดเกินไปเพราะ รถยนต์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำเพราะการเบรคอยู่บ่อยครั้งอากาศจึงไม่สามารถเข้าไประบายความร้อนเบรคได้ทัน ประสิทธิภาพการเบรคจะลดลงครับ ถ้าเบรคร้อนมากจนทำให้น้ำมันที่ลูกปั้มเดือดก็จะส่งผลเสียอย่างมากครับ คือจะทำให้เบรคไม่อยู่และอาจเกิดอุบัติเหตุได้ครับ




  • 5. ในกรณีที่คุณขับรถอยู่บนถนนและยางรถยนต์เกิดระเบิดขึ้นอย่างทันทีทันใด คุณจะรู้สึกได้ว่ารถยนต์เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง การควบคุมรถจะทำได้ยากครับ ถ้าเกิดเหตุการณ์ยางระเบิดดังกล่าว ต้องตั้งสติให้มั่น จับพวงมาลัยให้มั่นคง อย่าเหยียบเบรคอย่างทันทีนันใดเพราะจะทำให้รถยนต์เสียหลักได้ครับ ควรแตะเบรคอย่างนิ่มนวลเพื่อลดความเร็วของรถยนต์ แล้วเปลี่ยนช่องทางจราจรจอดข้างถนนตรงบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อเปลี่ยนยางอะไหล่ หรือขอความช่วยเหลือครับ




  • เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 5กรณี ที่กล่าวมาไม่ยากเลยใช่มั้ยครับ ในบางครั้งคุณอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถอย่างที่เคยขับมาด้วยความเคยชินก็ดี หรือ ความไม่รู้ก็ดี คุณก็ต้องลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถของคุณดูนะครับ ลองดูครับ แล้วคุณจะรู้ว่าการขับรถที่มีประสิทฺธิภาพได้เปรียบเชิงกลและมีความปลอดภัยนั้นจะทำให้รถยนต์ของคุณมีความสุข และ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและอยู่เคียงข้างคุณไปอีกนานแสนนานครับ และผมก็เชื่อว่าคุณและคนที่คุณรักจะต้องมีความสุขแน่นอนครับ 













  • ที่มา  http://variety.eduzones.com