วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รถมือสอง

รถยนต์มือสองเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ที่ต้องการซื้อรถ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้แต่เนื่องจาก การ ซื้อรถมือสอง มีความเสี่ยงที่สูงว่าจะได้รถที่ดีจริงตามที่โฆษณาหรือไม่นั้น ทำให้หลายคนยอมที่จะซื้อรถป้ายแดงเพื่อ ความสบายใจ แต่มีอีกข้อหนึ่งที่ทำให้ผู้ซื้อหนักใจอยู่เหมือนกันคือ การซื้อรถในเต็นท์รถ จะดีกว่าซื้อรถบ้านหรือไม่ แต่ถ้าโดยทั่วไปคนเรามักคิดว่าการซื้อรถในรถบ้านจะดีกว่า แต่วันนี้เราจะมาบอกข้อดีของการซื้อรถจากเต็นท์รถมาให้ดูกันครับ ว่ามันข้อดีอะไรบ้าง



1 สามารถเข้าดูรถได้ในเว็บไซต์โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเดินทางไปหาเอง หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มีแหล่งข้อมูลหลากหลาย

2 มีบริการเงินผ่อนให้เราเหมือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของเรา

3.สภาพรถที่เราซื้อพร้อมใช้งาน นั่นก็คือหมายความว่าซื้อมาแล้วสามารถใช้งานได้เลยโดยที่เราไม่ต้องไปซ่อมแต่งเติมอะไร

4.ประหยัดเวลา สามารถเปรียบเทียบได้กับ รถบ้าน อย่างเวลาเราจะไปซื้อรถบ้านเราต้องนัดหมายก่อนเข้าไป แต่เต็นท์รถสามารถเข้าไปได้เลยในเวลาทำการของแต่ละเต็นท์

5.สถานที่สะดวกเดินทางไปมาได้โดยไม่ต้องใช้เวลามากเกินไป

6.มีรถให้เลือกซื้อมากมาย นั่นก็สามารถเปรียบเทียบได้กัน สินค้า ที่ขายตามห้าง ที่เราสามารถเลือกซื้อได้อย่างตามใจชอบ

ไม่ว่าเราจะซื้อรถจากแหล่งไหนที่ไหนก็ตามสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ สภาพรถที่เราซื้อมาเป็นยังไงบ้าง ซื้อมาแล้วเราต้องเสียค่าใช้จ่ายมากน้อยเท่าไหร่กับรถคันนี้ขอเรา และสิ่งหนึ่งที่เราควรคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาเวลาที่เราต้องการซื้อรถสักคัน ว่าแหล่งรถที่เรากำลังจะซื้อนั้นมีความเชื่อถือมาน้อยแค่ไหนกัน หวังว่าข้อมูลที่เรานำมาฝากกันวันนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลที่ต้องการหาซื้อรถอยู่กันครับ ยังไงก่อนจะตกลงซื้อรถสักคันก็ตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนซื้อแล้วกันนะครับ
เพราะเมื่อใดที่เราซื้อมาแล้วนั่นก็หมายถึงว่ารถคันนี้เป็นของเราแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นเราเท่านั้นที่เป็นคนรับผิดชอบคนเรา อย่าลืมแล้วกันนะครับ

อย่าลืมนะครับว่าการซื้อรถสักคนไม่เหมือนกับเราซื้อมือถือ เสือผ้า กระเป๋า ใช้ เราต้องวิเคราะห์ให้ดี ๆ ในการเลือกซื้อรถเพราะอะไรนั่นเหรอครับ ก็เพราะว่าสินค้าที่เรากำลังซื้ออยู่มันมีมูลค่าสูงมากพอกว่าเราจะหามาได้ แล้วทำไมเราถึงไม่เลือกสินค้าที่ดีที่สุดให้เป็นของขวัญให้กับเราเราล่ะ จริงมั๊ยล่ะครับ ไงก็อย่าลืมนำไปใช้ในการเลือกซื้อรถแล้วกันนะครับผม

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554



ณ.วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมก็ได้โทรไปหาเพื่อน
เฮ้ยเพื่อนวันนี้มีบอลเตะป่ะว่ะ จริงๆผมก็รู้แหละว่ามี แต่
ผมจะกวนตีนเพื่อนผม เพื่อนผมบอกว่ามีเดะ เมิงจะ แทงบอล
คู่ไหนล่ะ ผมก็เลยนึกในใจทำไมมันไม่ด่าผม แต่ก็ดีและไม่ด่า
ก็ดี ผมจะได้ แทงบอล ถูกหน่อย เพราะเวลามันด่าผมทีไร บอลผม
โดนแดรกทุกที ผมก็เลยเออ ออ กับมันไป วันนี้แมนยูเป็นไงว่ะ
แทงได้ป่าว เพื่อนผมบอกมาเลยได้จัดเลย วันนี้แมนยู ส่งชุดใหญ่
ทั้งทีม ผมก็เลยถามเพื่อนผมไปว่า ชัวร์นะเว้ย ถ้ามันแพ้กรูจะไปฆ่าเมิง
เออ บอกว่าชัวร์ก็ชัวร์ ดิว่ะ อเครๆ กรูเชื่อเมิง นั้นเอา แมนยู 2 แสน
ถ้ากรูถูกนะกรูจะพาไป นวดกระปู๋ แล้วบอลก็เริ่มเตะขึ้น สกอร์ครึ่งแรก
ทำผมกับเกือบจะฆ่าตัวตาย แมนยู โดนนำ 3-0 งานเข้าแล้วกรู
จะเอาตัง ที่ไหนไปให้เค้าว่ะเนี่ย ผมก็เลยเล่นไสยศาตร์ เลยครับ รีบไปหน้าบ้านเลย ไปจุดธูปไหว้ ศาลพระพรม ในบ้านเลย ลูกช้างขอให้ขึ้นหลังแมนยูกับมาชนะด้วยนะครับ ผมสัญญาว่า จะไม่ แทงบอล อีก
ถ้าแมนยู ชนะ และแล้วมันก็เกิดเรื่องปาฎิหาริย์ขึ้น แมนยูกลับมาชนะ
ด้วยสกอร์ 4-3 โอ้วแม่เจ้า เป็นไปได้ไงฟ่ะ สุดท้ายผมก็ได้พาเพื่อนผม
ไปนวดกระปู๋ แล้วก็ไม่ได้ แทงบอล อีกเลยยยยยยยย

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แข่งรถ



วันที่ 15/11/54 ณ.เวลา 8 โมงเช้า ผมและเพื่อนๆ ของผม
ได้นัดกันไปดูการ แข่งรถทางตรง ที่สนามคลอง 5 เป็นการ
แข่งขัน รถกระบะ งานนี้มีชื่อว่า NITTO มีรุ่นการ
แข่งขันมากมาย งานนี้เป็นการหา รถกระบะ ที่เร็วที่สุดใน
เมืองไทย กานแข่งขันรุ่นแรกเริ่ม ประมาณ 11.00 น.
เป็นรุ่น รถกระบะ มือใหม่ กล่องดันรางใบเดียว แต่ให้ผมดู
ส่วนตัวแล้วมันคงไม่ใช่ ดันรางใบเดียวแน่ๆ แต่ล่ะคันมา
สภาพอย่างโหดเลย เราก็เลยคิดในใจ รถกระบะ เพื่อนเรา
จะสู้เค้าได้ไหม ก็แอบหวังกันไป เอาก็เอา สู้ตาย!!!
แต่ตัวผมไม่ได้นั่งเชียร์เพื่อนผมนะ นู้น.... ไปนั่งกินเบียร์
อยู่ข้างหลังกับเพื่อนที่ไม่ได้เชียร์เพื่อนผมเหมือนกัน เล่นไป
หลายกระป๋องเลย พอกับมาดูกานแข่งขัน ก็เกิดเรื่องน่าประหลาดใจขึ้น!!! รถกระบะ เพื่อนผมได้ รางวัลที่1 ผมกับเพื่อนผมก็ตกใจ!!
เฮ้ยเป็นไปได้ไง มันทำได้ไง เป็นไปได้หรอ ผมพยายามถามเพื่อน
ก็ไม่ยอมบอกผม สรุปเพื่อนผมได้รางวัลที่ 1 ก็เลยกลับแล้วไปฉลอง
ที่ร้าน ไม้เอก!! มันเป็นผับ COYOTY ที่ผมใฝ่ฝันจะไปให้ได้
กันชุดใหญ่ สุดท้ายก็เอา COYOTY กลับบ้านกันเนียนเลย ^^

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขั้นตอนการซื้อรถยนต์ใหม่ป้ายแดง

รถยนต์เป็นสิ่งที่เกือบทุกคนอยากจะมีไว้ใช้ แต่ทว่าราคาของมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถซื้อได้ บางคนเก็บเงินหลายปีกว่าจะซื้อได้ ดังนั้น เราควรจะต้องมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ไม่ควรรีบร้อน ผมเป็นคนหนึ่งที่ซื้อรถยนต์ป้ายแดงครั้งแรก มันก็ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ เจอหลายๆอย่างจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนได้รถอย่างที่ตัวเองหวังไว้ เริ่มต้นเลยนะครับ




1. การเลือกรถที่คุณต้องการ ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นหรือถามผู้รู้และความต้องการของเรา ว่าเราขอบอะไร เพื่ออะไร

ยี่ห้อรถยนต์ เข้าเวบของยี่ห้อนั้นดูข้อมูล เรื่องการให้บริการ ศูนย์บริการ ข่าวไม่ดีต่างๆ
รุ่นรถ รุ่นที่เราชอบ option ต่างๆ ของแต่ละรุ่น ความจำเป็นในการใช้งาน
สีรถ สีที่ชอบและดวงตามความเชื่อ เดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาติดสติกเกอร์รถสีต่างๆเพิ่มอีก
ราคา เราควรประเมินตัวเราเองว่า เราสามารถจ่ายได้ขนาดไหน เมื่อซื้อรถจะมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายหรือเปล่า อย่าฟังคนอื่นมาก ฟังหูไว้หู เพราะยังไงเวลาเรามีปัญาเรื่องการเงินคงไม่มีใครมาช่วยจ่าย

2. การเลือกศูนย์บริการที่คุณต้องการเข้าไปซื้อรถ ควรเลือกศูนย์ที่ไว้ใจได้นะครับ เพราะเราต้องอยู่กับศูนย์นั้นหลายปีทีเดียว ขอย้ำว่าหลายปี หากเลือกผิดเราจะช้ำใจไปเลยครับ และจะทำอะไรเกี่ยวกับรถก็ลำบากไปหมด เราจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นศูนย์ที่เราต้องการ ลองพิจารณาตามนี้ดูนะครับ

เป็นตัวแทนจากยี่ห้อรถยนต์ที่เราต้องการจะซื้อ
ประวัติของศูนย์ครับ ต้องถามข้อมูลจากคนรอบข้างที่เคยไปใช้บริการ หรือข่าวลือต่างๆ ครับ บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนพระเจ้า บางศูนย์เห็นเราเข้าไปเหมือนขอทาน บางศูนย์เจ้าของเป็นผู้มีอิทธิพล (เวลาเรามีปัญหาหลังจากซื้อรถไป เซลแมนจะเอามาขู่เราด้วย) เลือกศูนย์ที่มีประวัติดีนะครับ มีคนชมมากกว่าคนด่า ต่อให้ตั้งศูนย์ใหม่แต่เจ้าของคนเดิม ทีมงานเดิม การบริการก็ยังห่วยเหมือนเดิมครับ
ศูนย์บริการใกล้บ้านครับ สะดวกต่อการติดต่อ ประหยัดน้ำมัน

3. การเลือกเซลแมน ขั้นตอนนี้สำคัญมากกว่าการเลือกศูนย์บริการนะครับ เพราะหากเจอเซลที่ดี เซลจะเป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องรถที่ดีสำหรับคุณที่เดียวและคุณจะได้รถตามที่คุณหวัง แต่หากเจอเซลแย่คุณจะโดนโกงสารพัดวิธีที่เดียว เซลแมนคือที่คอยให้คำแนะนำเรื่องรถ ทำสัญญา เตรียมรถให้เรา แต่ที่สำคัญที่สุด เค้าจะต้องขายรถให้เราเพื่อทำกำไรให้ทางบริษัท และค่าคอมมิสชัน กำไรจากส่วนอื่นๆ ที่เราพลาดเผลอไปยอมรับโดยไม่ระวังซึ่งสำคัญกว่าบริการเราซะอีก แล้วเราจะเลือกยังไง

ถ้าเซลเป็นญาติพี่น้องที่ดีต่อเรา จะดีมากเค้าคงเลือกสิ่งดีๆให้พี่น้องกันโดยไม่หวังผลกำไรมากอยู่แล้ว
เพื่อนพี่น้อง แนะนำเซลให้ แสดงว่าคนคนนั้นเคยใช้บริการมาแล้ว เซลคงรักษามาตรฐานการให้บริการที่ดีทุกคน
ใช้น้ำเสียงการให้บริการฟังแล้วรู้สึกสบายใจ แต่หากฟังแล้วขัดหูหรือไม่สบายใจเปลี่ยนคนเถอะ
ขั้นตอนการอธิบายรถ อธิบายแล้วเราเข้าใจ ถามอะไรสามารถตอบได้
อย่าเลือกเพียงเพราะหน้าตา หรือเพราะพูดเพราะ ให้จำสุภาษิตนี้ไว้เลยครับ หน้าเนื้อใจเสือปากหวานก้นเปรี้ยว การเลือกเซลแมน

4. เรื่องของแถม ดูสิว่าเซลให้ของแถมไรเราบ้าง เช่น

น้ำมันเต็มถัง
ส่วนลดเงินสด
เบาะหนัง
ฟิล์มรอบคัน ยี้ห้ออะไร ประกันกี่ปี ติดรุ่นไหนได้บ้าง ราคาที่ติดได้เท่าไร ติดที่ไหน
เคลือบสี+กันสนิม ทำฟรีทุกครั้ง หรือเสียตังค์แต่ละครั้งเท่าไร
ประกันภัยชั้น 1 ฟรีหรือเปล่า
Sensor ถอยหลัง 2 หรือ 4 จุด ไม่ได้ติดจากโรงงาน ต้องถามว่าซื้อของอะไร ติดตั้งที่ไหน รับประกันกี่ปี ซ่อมที่ไหน
อุปกรณ์แต่งรถ เช่น สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส ต้องถามว่าซื้อของอะไร ของศูนย์ ของร้าน หรือของแท้ ติดตั้งที่ไหน ส่วนใหญ่เค้าจะแถมของที่ซื้อจากร้าน
ของอื่นๆ เช่น ผ้าคลุมรถ หมอนผ้าห่ม พรมปูพื้น สายรองเบลท์ อุปกรณ์ฉุกเฉิน ผ้ายางปูพื้น ถาดหลังกันเปื้อน น้ำหอม ชุดทำความสะอาด ที่ล๊อคพวกมาลัย หมอนผ้าห่ม ม่านบังแดด ฯลฯ ผมได้ครบเกือบทุกอย่างตามที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ทำไมเค้าถึงให้ผมเยอะขนาดนี้ มันมีเหตุครับ รับรองเซลเค้าได้มากกว่าที่เสียให้ผม

5. ถามเรื่องประกันภัยชั้น 1 ที่เค้าให้เรานะครับ ไม่ว่าจะแถมให้ฟรี หรือเราเสียตังค์เอง มันมีส่วนสำคัญมากครับ และรถใหม่ทุกคันที่ผ่อนจะต้องทำครับ เราควรจะถามข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับประกันจากเซล หากเซลตอบไม่ได้ หรือเราไม่เข้าใจ ก็อย่าเพิ่งจองนะครับ ให้เราเข้าใจก่อน

เป็นของบริษัทอะไร น่าเชื่อถือหรือเปล่า ใกล้เจ้งไหม
บริษัทประกันนั้นมีข่าวไม่ดีจากลูกค้าหรือเปล่า เช่น บริการไม่ดี บริการช้า
ซ่อมศูนย์ หรือซ๋อมอู่ ถึงจะเป็นประกันชั้น 1 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถซ่อมได้ทุกที่ เพราะราคาการซ่อมที่ประกันสามารถจ่ายได้บางศูนย์หรือบางอู่ก็รับไม่ได้ อย่างกรณีผม มีศูนย์ยี่ห้อ A 2 ที่แถวบ้าน แต่ที่หนึ่งรับเคลมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่อีกที่เมื่อไปเคลมจะมีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่มเอง แต่ศูนย์ที่รับเคลมที่ไม่มีส่วนต่างรอคิวซ่อมนานเป็นเดือนๆ เราต้องรู้ก่อนเพื่อไม่เสียความรู้สึกภายหลัง
ข้อควรรู้สำหรับมือใหม่ หากรถเราเสียหายโดยไม่มีคู่กรณีเราต้องจ่ายประกันเริ่มต้น 1000 บาท แต่หากมีคู่กรณี คู่กรณีจ่ายครับซ่อมฟรี แต่เสียเวลา

6. ถามเรื่องการทำสินเชื่อ หากเราไม่ได้ซื้อเงินสด ควรถามเรื่องนี้กับเซลด้วยนะครับ เพราะเราต้องทำ สัญญาเช่าซื้อกับธนาคารนั้น สิ่งที่เราควรรู้คือ

บริษัทหรือธนาคารอะไร
ดอกเบี้ยเท่าไร
จำเป็นต้องมีประกันวงเงินสินเชื่อหรือเปล่า
ตอนนี้ก็ลองให้เซลคิดเรื่องเงินเรื่องทองให้ดูเลยนะครับ ว่ามีค่าใช้จ่ายวันรับรถอะไรบ้าง โดยของผมทั้งหมดมันจะมีตามข้างล่าง เงินที่เราจะทำสัญญาเช่าซื้อคือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด-เงินจอง-เงินดาวว์ ครับ

ค่ารถยนต์รุ่นที่เราจอง
ค่าจดทะเบียน
ค่ามัดจำป้ายแดง
ค่าประกันภัยชั้น 1
พ.ร.บ.
ค่าตกแต่ง
ค่าประกันภัยวงเงินสินเชื่อ

7. การจองรถยนต์ ขั้นตอนนี้เราเริ่มที่จะเสียเงินแล้วนะครับ หากเราพอใจกับตัวรถยนต์รุ่นที่เราต้องการ ของแถมที่เซลจะจัดให้ นิสัยและคำอธิบายของเซล เรื่องประกันชั้น 1 เราก็จองรถเลยครับ แต่หากเรายังรู้สึกลังแลก็อย่าเพิ่งจองนะครับ มันไม่ทำให้เซลเสียเวลาหรอกครับ เพราะรถที่เราจะซื้อไม่ใช่คันละบาทสองบาท ไปนอนคิดที่บ้านดีกว่าครับ คราวนี้มีคำถามว่าทำไมต้องจอง เนื่องจากรถมีราคาแพงดังนั้นหากไม่มี Order โรงงานก็จะไม่ผลิตรถมาขาย ดังนั้นเมื่อเราจองรถ เซลจะเก็บหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อไปใช้ประกอบการส่งข้อมูลให้โรงงานผลิตรถยนต์ รถที่ผลิตออกมาคันนั้นจะผลิตตามรุ่นและสี ตามที่เราจองไปทุกประการ หากทำมาแล้วไม่ตรง เรามีสิทธิที่จะไม่เอาและขอค่าจองคืนได้ มีข้อแนะนำดังนี้

อย่าลืมขอใบเสร็จหรือสัญญาการจอง
สัญญาการจองต้องระบุรุ่นและสีของรถที่เราต้องการให้ถูกต้อง
สัญญาการจองต้องเขียนของแถมทุกอย่างให้ครบอย่าบอกปากเปล่า
ตอนนี้ถามเลยครับว่ารถจะมาเมื่อไร และจะติดต่อกลับเราวันไหนระบุให้ชัดเจนเขียนลงในสัญญาเลยครับ
หากเราละเอียดมากๆ แล้วถ้าเซลงอแง หรือแกล้งลืมๆ ไม่จด เราก็บอกไปเลยครับว่ายังไม่จอง อย่ารีบร้อนนะครับ รถไม่ใช่ถูกๆ
หลังจากจองเสร็จก็รอ หากเซลโทรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องของแถมก็แล้วแต่เราว่ารับได้ไหม รับไม่ได้ก็ขอเงินจองคืน

8. การตรวจรับรถป้ายแดง แล้วก็ถึงเวลาที่รถเรามาถึง บางที่หากเราติดฟิล์มหรือไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม เซลจะโทรให้ไปรับรถเลย แต่หากเรามีการตกแต่งที่ไม่ได้ทำมาจากโรงงาน เซลจะให้ไปดูรถและตรวจรถที่มาจาโรงงาน ยังไงก็ตามเราควรทำหารตรวจรับรถที่มาจากโรงงานก่อนเริ่มเลยนะครับ

ควรพาผู้เชียวชาญเรื่องรถยนต์ สี และพวกจับผิดเรื่องรถยนต์เก่งๆ เพราะเรามือใหม่
มีแบบฟอร์มการตรวจตาม link นี้เลยครับ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=53788 และควรจะค่อยตรวจที่ละขั้นอย่างละเอียด โดยให้คนที่พาไปด้วยช่วยเราดู อย่าแย่งกันดูนะครับ เดี๋ยวจะเช็คไม่ครบ อย่ากลัวว่าเราจะงี่เง่า รถราคาแพงครับ
ขอดูเอกสารที่รถลงถึงอู่ ว่าวันที่เท่าไร ช่างตรวจรับหรือยัง เค้าจะเรียกว่าใบ Warranty Bosket ครับ หากไม่มี ค่อยมาตรวจใหม่วันหลัง
สำคัญมาก อย่าลืมจดหมายเลขเครื่องเอาไว้ด้วยนะครับ ว่ารถคันนี้เราเช็คแล้ว
ข้อตกลงเรื่องการติดตั้งของอื่นๆ เพิ่มเติม ของแถมตามสัญญาการจองเช่น
ติดฟิล์ม
สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส
Sensor ถอยหลัง
เบาะหนัง
พวกนี้ต้องรอเช็คอีกรอบวันรับรถ หากติดตั้งเสร็จแล้วให้ตรวจดูความเรียบร้อยดังนี้
ติดฟิล์ม ขอดูใบติดตั้ง ใบรับประกันเขียนถูกต้องเหรือเปล่า มีฟองอากาศหรือเปล่า
สปอร์ยเลอร์ กระจังหน้า คิ้วกันสาด สเกิร์ตรอบคัน คิ้วบันไดสแตนเลส การติดตั้งเรียบร้อยหรือเปล่า น๊อตที่ใช้เป็นแบบไหน กันสนิมหรือเปล่า ขอบยางหารติดสวยหรือเปล่า ใช่ซิลิโคนอะไร มีรอยหรือเปล่า สีเข้ากับสีรถหรือเปล่า เนื้อละเอียดเหมือนสีรถหรือเปล่า
Sensor ถอยหลัง ทดสอบว่าวัดการถอยหลังยังไง
เบาะหนัง สีตามที่เราต้งการหรือเปล่า ตะเข็บ ติดเรียบเนียนหรือเปล่า

9. ทำสัญญาซื้อขาย หรือสัญญารับรถ ตราบใดที่เรายังไม่เซ็นรับรถ เราก็เหมือนพระเจ้า แต่เมื่อไรก็ตามเราเซ็นรับรถแล้วและเราเอารถออกจากศูนย์ เราเหมือนยาจกทันที ก่อนเว็นควร

รถสวยงามอย่างที่เราต้องการหรือเปล่า ใช่รุ่นที่เราต้องการหรือเปล่า ไม่ใช่มาจากโรงงานอีกรุ่น มาแต่งเป็นอีกรุ่นที่เราต้องการ มันไม่สมควร
ตรวจตามข้อ 8 อีกรอบ เอาหมายเลขเครื่องมาดูเลยครับว่าหมายเลขเดียวกับที่เราตรวจมาแล้วหรือเปล่า
ตรวจดูการติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งเสริมตามข้อ 8
ของแถมครบหรือเปล่า ไม่ครบรอเซ็นรับวันหลัง
น้ำมันเต็มถังหรือเปล่า
เอกสารต่างๆครบหรือเปล่าเช่น
เอกสารประกันหรือใบเสร็จ
พ.ร.บ. หรือใบเสร็จ
ใบเสร็จค่ามันจำป้ายแดง+สมุดคู่มือป้ายแดง
ป้ายแดงของแท้หรือเปล่า ต้องมีตรา ขส....
เอกสารติดตั้งฟิล์ม และรับประกันฟิล์ม
เอกสารการรับประกันอุปกรณ์รถหรือ Warranty Bosket ที่มีชื่อเราโดยไม่มีรอยลบ ขีด เปลี่ยนแปลงข้อมูล
คู่มือรถ
เอกสารเซ็นต์เตรียมจดทะเบียน จะได้ป้ายขาวเมื่อไร เลือกเลขทะเบียนได้หรือเปล่า หรือต้องติดต่อกับขนส่งเอง

10. ถ้าครบทุกอย่าง ตามที่กล่าวมา ก็รับรถไปได้เลยครับ

แชร์ประสบการณ์ที่ควรระวังนะครับ

ผมมีความเชื่อว่าคนที่ทำไม่ดีมันสามารถที่จะแก้ตัวมาทำดีได้ แต่ไม่สามารถใช้กับนโยบายของศูนย์บริการ A นี้ได้ครับ ต่อให้ทำศูนย์ใหม่หรือปรับปรุงให้ดีขนาดไหนก็ยังไม่ซื้อสัตย์กับลูกค้าอยู่ดี เพราะเจ้าของและทีมงานเป็นชุดเดิม เรื่องมีอยู่ว่า ผมตัดสินใจจองรถวันที่ 24 ธ.ค.51 รถที่ผมจองมาจากโรงงานมาวันที่ 23 ม.ค. 52 ผมตรวจเช็คตามขั้นตอน รถใหม่จากโรงงานจริง ไม่มีการแต่งเพิ่มแต่อย่างไร ฟิล์มก็ไม่ได้ติด ผมยอมรับรถที่ตรวจเสร็จแต่ขาดอย่างเดียวคือไม่ได้จดหมายเลขเครื่อง และผมก็ตกลงเรื่องการแต่งรถ ติดฟิล์ม ตอนแรกจะไม่แต่งแต่เซลให้ส่วนลดหลายพันจนผมยอม วันรับและเซ็นสัญญาผมก็เชื่อใจเซล คือผมรับและเอาออกมาจากศูนย์วันที่ 13 ก.พ. 52 เนื่องจากรอตกแต่ง พอใช้ไปซักพัก ปรากฏว่าวันที่เราต้องส่งไปรษณีย์เพื่อส่งไปขอรับใบประกันฟิล์ม ปรากฏว่า ฟิล์มถูกติดตั้ง ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย. 51 ตกใจเลยครับ ฟิล์มผมติดตั้งก่อนที่ผมจะจองรถซะอีก รถมาก่อนจองเป็นไปได้ยังไง จึงสืบข้อมูลได้ความว่า รถคันนี้คนที่จองท่านเดิมยกเลิกการจองไว้ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. 51 เป็นรถค้างสต๊อกว่างั่นเถอะ เซลจึงพยายามชักจูงให้ผมแต่งรถให้ได้ตามรถที่ค้างอยู่ ความเชื่อใจทำให้ผมได้รถคนละคันกับที่ผมเช็คไว้ เซลไม่ได้จ่ายรถพลาด เพราะเค้าตั้งใจหลอก เค้าบอกผมว่า อย่าเพิ่งเลื่อนกระจกเพราะฟิล์มเพิ่งติด พูดมาได้ ติดไว้ตั้ง 2เดือนละ หลังจากที่ผมร้องเรียนเซลขออโหสิกรรมจากผม แต่ผมติดว่า คนที่กล้าหลอกคนอื่นอย่างหน้าตาเฉยรู้จักกลัวบาปกรรมเหรอความสวยและปากหวาน ไม่ได้ช่วยทำให้คนเรามีจิตใจดีได้เลย เราเรียกร้องอะไรไม่ได้มากเนื่องจากเจ้าของศูนย์ใหญ่โต ก็ต้องยอมรับเงือนไขที่เค้าเสนอมาเพียงเล็กน้อย แต่ความรู้สึกเราไม่ได้กลับคืนมา และใช่ว่าเค้าจะยอมรับความผิด เค้าบอกว่าเซลทำเหมาะสมแล้ว คือเค้าต้องเคลียร์สต๊อกของเก่าออกไปก่อน เป็นอุดทาหรที่เราควรระวังรูปแบบของเซลขายรถ เซลขายรถเพื่อประโยชน์ของตัวเค้าเอง เพื่อทีมงานของเค้า และศูนย์ของเค้า หากเราไม่ระวัง เราก็จะตกเป็นเหยื่อได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นอย่าไว้ใจเซลและศูนย์ที่มีข่าวไม่ดี

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การซื้อรถอย่างไรไม่ให้โดนหลอก

การเลือกซื้อรถยนต์สักคันนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา สมรรถนะ ยี่ ห้อ ฯลฯ ที่จะมาเป็นสิ่งกระตุ้นในการเลือกซื้อ แต่หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อจริง ๆ แล้วมักจะไม่ค่อยตายตัวสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่า เราจึงนำหลักเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อรถซึ่งอาจจะช่วยในการตัดสินใจของท่านได้ไม่มากก็น้อย





การเลือกซื้อรถใหม่

-คำนึงถึงงบประมาณ การประกัน ประโยชน์ในการใช้งาน เพื่อจะซื้อรถได้คุ้มค่าที่สุด

-ตรวจเช็คเกี่ยวกับข้อมูลการใช้น้ำมัน เบี้ยประกันการบริหารอุปกรณ์อะไหล่ และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

-สำรวจยี่ห้อ ราคา แบบ รุ่น จากนิตยสารที่เกี่ยวกับรถแคตตาล็อกจากร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วไป แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อมูลต่าง ๆ อย่าพึ่งด่วนสรุปตัดสินใจซื้อ

-เลือกซื้อจากตัวแทนจำหน่ายใหญ่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ

-สำรวจพื้นที่ในการใช้สอยในรถ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก

-ตกลงกับผู้ขายในเรื่องค่าโอนทะเบียนรถและอื่น ๆ ให้เป็นที่เรียบร้อยและพึงพอใจสำหรับตัวท่านเอง

-สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องได้ทดสอบขับเสียก่อน อย่าตัดสินใจซื้อเมื่อไม่มีโอกาสได้ทดสอบขับ เพราะหากมีอะไรไม่ถูกใจหรือไม่ชอบจะได้เปลี่ยนรุ่นหรือยี่ห้อได้

-ควรมีเพื่อนหรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับรถไปด้วย เมื่อมีการดูรถควรถ่ายรูปรถของคุณไว้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นภายนอก ภายในเครื่องยนต์ ทะเบียน กันชน ไฟหน้า - หลัง รวมทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก เช่น แอร์ วิทยุเทปและอื่น ๆ เพื่อเตรียมไว้ในกรณีที่ถูกเฉี่ยวชน โดนขโมย หรือถูก

ส่วนใหญ่ในการซื้อรถใหม่นั้นไม่ค่อยมะไรยุ่งยากมากเท่าใดเพราะรถจะถูกตรวจสอบมาจากโรงงานและเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ ประสิทธิภาพก็คงดีอยู่มาก ยังไงแล้วเพื่อความแน่นอนควรตรวจสอบให้ดีก่อนซื้อทุกครั้ง

ทำไมต้องรันอินรถยนต์

เมื่อท่านซื้อรถใหม่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยคือ การรันอิน และการรันอินนั้นจะต้องทำอย่างถูกวิธี เพื่ออายุการใช้งานของรถยาวนานขึ้น แต่ถ้าใช้ผิดวิธีการทำงานของรถจะสั้นกว่าปกติ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งการรันอินนั้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง

ช่วงรันอินที่ 1 ในช่วง 500 กิโลเมตรแรก ควรหาโอกาสขับรถในระยะทางไกล เช่น ไปต่างจังหวัด ขับขี่ด้วยความเร็วปานกลางและนิ่มนวลพยายามอย่าให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก หลีกเลี่ยงการใช้โช๊ค อัพในการสตาร์ท ควรเปลี่ยนแปลงความเร็วอย่าใช้อัตราคงที่ ไม่ควรขับด้วยความเร็วจุดใดจุดหนึ่งเป็นเวลานาน เพื่อให้การสึกหรอของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ

ช่วงรันอินที่ 2 จาก 500 กิโลเมตรไปจนถึงราว 3,000 กิโลเมตรแรกหนังสือคู่มือ การรันอินในกิโลเมตรช่วงที่ 2 ( หลัง 500 กิโลเมตรแรกไปแล้วจนถึง 3,000 กิโลเมตร ) ควรขับอย่างนิ่มนวล

การรันอิน คือ การขับขี่ที่อยู่ในระยะทางช่วงใดช่วงหนึ่งที่มีการกำหนดโดยบริษัทรถยนต์หรือช่าง

การเลือกรถที่ใช้แล้ว

ในปัจจุบันตลาดรถยนต์มือสองกำลังบูมอย่างมาก มีการซื้อขายและการประมูลไม่เว้นแต่ละวัน เต็นท์ขายรถต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมารองรับการซื้อราวกับดอกเห็ด ทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการเลือกซื้อมากขึ้นด้วยสนนราคาที่ถูกกว่ารถใหม่คุณภาพก็พอใช้ถ้าเลือกกันดี ๆ ซึ่งคนธรรมดาที่มีเงินทองไม่มากนักก็พอที่จะเลือกซื้อมาเป็นของเจ้าของได้ งถึงอุปกรณืชิ้นต่าง ๆ ของรถมือสองกันบ้าง ซึ่งก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเป็นรถที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ดังนั้นสภาพต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ต้องมีส่วนลึกหรอบ้าง จะมากบ้างน้อยบ้างก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และเจ้าของรถเดิมว่าใช้งานถนอมแค่ไหน การรเลือกซื้อรถยนต์ประเภทนี้ต้องคิดมากทีเดียวบางครั้งซื้อแล้วต้องมานนั่งซ่อมอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่คาดคิดมาก่อนเพราะตอนแรกดูสภาพดีแต่เมื่อมาใช้งานจริงแล้วปัญหาต่าง ๆ กลับตามมาย เพราะขาดความเข้าใจและไม่รู้หลักในการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้ว หรืออาจจะเป็นเพราะถูกหลอกจากคนรู้จัก ท่านจึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์ใช้แล้วบ้างเผื่อท่านคิดจะมีรถแบบนี้ไว้ใช้สักคัน

ขั้นแรกต้องถามตัวเองว่ามีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ รถยนต์ขนาดไหน เคยรู้บ้างไหมว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นมีหน้าที่อะไร ทำอะไรได้บ้างถ้าท่านมั่นใจว่าตัวเองมีประสบการณ์สูงในเรื่องนี้พอที่จะไปดูรถยนต์ด้วยตัวเองและลองขับด้วยตัวเอง ท่านก็สบายใจได้ในขั้นตอนนี้ แต่ถ้าท่านไม่มีความรู้อะไรเลยขับเป็นอย่างเดียว ในกรณีนี้ท่านต้องพึ่งช่างหรือผู้มีความคุ้นเคยกับรถมากกว่าท่าน และมีความสนิทกันไว้ใจได้ ให้เขาพาท่านไปดูรถเพื่อความมั่นใจว่าท่านสามารถซื้อรถในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

จำไว้เสมอว่าในการเลือกซื้อรถมือสองหรือการตรวจเช็ครถยนต์ต้องเป็นเวลากลางวันเพื่อจะได้สามารถมองเห็นข้อบกพร่องได้ง่าย เมื่อท่านถูกใจและถูกเงินในกระเป๋าแล้ว สิ่งที่ท่านต้องตรวจดูมีด้วยกัน 3 แห่งคือ โครงตัวถัง, ช่วงล่าง, เครื่องยนต์

โครงตัวถัง

โครงตัวถังนับเป็นส่วนประกอบส่วนแรกของรถยนต์ที่ท่านต้องตรวจดูก่อนเป็นอันดับแรก การตรวจนั้นจะเริ่มตั้งแต่ ดูแนวรางน้ำขอบหลังคารถยนต์ ถ้าหากว้างหรือคดแสดงว่าเคยคว่ำมาแล้วอาจเสียศูนย์ ทรงตัวไม่ดีเป็นอันตรายมาก ในส่วนนี้ต้องพยายามสำรวจให้ทั่วหลังคารถด้วยการมองทั้งทางด้านหน้ารถ – ท้ายรถ พยายามมองให้ดีเพราะส่วนนี้เป็นสิ่งสำคัญถ้าหลังคายุบหรือคดจะทำให้รถหมุนได้ถ้าวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือโดนลมปะทะแรง ๆ แต่ในบางครั้งรถที่เคยคว่ำก็อาจจะทำหลังคามาใหม่ทำให้มองม่ออกเหมือนกัน ก้ต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกที

-ตรวจรอยสนิมกัดกินผุกร่อน บริเวณบังโคลนหน้า รอบดวง โคมไฟ ทั้งสองข้าง สนิมเป็นอันตรายอย่างมากสำหรับรถยนต์ ซึ่งจะลามไปทั่วถรถ้าปล่อยทิ้งไว้ รอยสนิมจะเกิดได้มากที่สุดบริเวณบังโคลนหน้า แต่ในบางคร้งอาจจะถูกซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นต้องตรวจดูด้วยการเอามือลูบบังโคลนด้านใน ซึ่งในส่วนนี้จะไม่สามารถปกปิดได้ เพราะจะมีร่องรอยการซ่อมหลงเหลืออยู่ใช้มือลูบก็พบ ท่านต้องพิจารณาว่าซื้อมาแล้วต้องเสียเงินเพิ่มหรือไม่

-ตรวจรอยสนิมบริเวณบังโคลนหลังขอบด้านใน บริเวณนี้ก็เช่นเดียวกันกับบังโคลนหน้า คือ เกิดสนิมได้ง่ายเชนเดียวกัน การตรรวจก็เช่นเดียวกัน ใช้มือลูบด้านใน รอยการซ่อมหรือปะผุจะมีเหลืออยู่ให้เห็น

-ตรวจรอบโคมไฟท้ายทั้ง 2 ข้าง มีรอยสนิมมากน้อยเพียงใดส่วนของไฟท้ยก็เป็นสนิมง่าย ต้องตรวจให้ละเอียดว่ามีรอยสนิมมากน้อย และต้องเสียค่าซ่อมต่าง ๆ มากหรือไม่ ถ้าซื้อไปแล้วจะคุ้มมั๊ย

-ตรวจดูรอยผุส่วนท้ายรถที่ขอบฝากระโปรง และที่ติดใกล้กับกันชน ต้องเปิดฝากระโปรงออกมาแล้วตรวจดู และอย่าลืมดูที่บริเวณกันชนติดกับกระโปรงรถส่วนท้ายด้วย พยายามตรวจดูให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้

-ตรวจรอยผุบริเวณประตูรถตอนขอบด้านล่าง และที่ตัวถังของพื้นล่างสุด บริเวณประตูก็จะเกิดสนิมได้ง่ายเช่นเดียวกัน ต้องตรวจดูที่ประตูทุกบานหารอยผุว่ามีมากหรือน้อย การเปิด – ปิดในส่วนต่าง ๆ ของขอบประตูและกระโปรงหลังทำให้ได้สะดวกหรือไม่

ตรวจดูใต้ท้องรถ อาจให้ยกรถขึ้นโดยใช้ขาตั้งแล้วท่านเข้าไปตรวจดูใต้ท้องรถ แต่อาจใช้วิธีเปิดพรมยางในรถทั้งหมด แล้วตรวจหาดูรอยผุหรือส่วนที่เสียหายต่าง ๆ

-ตรวจดูระบบท่อไอเสีย ให้อยู่ในสภาพที่ดี ไม่มีรอยแตกหรือสนิมกัดกร่อนจนเกือบจะผุพัง

ช่วงล่าง

ช่วงล่างตรงนี้สำคัญมากในการเลือกซื้อรถใช้แล้ว เพราะช่วงล่างจะส่งผลต่อการขับขี่ ในด้านการทรงตัวขณะเลี้ยวหรือวิ่งด้วยความเร็วสูง ถ้าเครื่องช่วงล่างไม่ดีอาจจะเกิดอุบัติเหตุง่ายเมื่อใช้รถ การตรวจช่วงล่างจะเริ่มตั้งแต่

-ในการตรวจช่วงล่างต้องยกรถให้สูงขึ้น เพื่อความสะดวกในการตรวจใต้ท้องรถและสามารถมองเห็นทุกจุดได้ชัดเจน ท่านควรตรวจใต้ท้องรถด้วยตัวท่านเองถ้าท่านพอมีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์บ้างโดยให้เริ่มตรวจตั้งแต่ห้องเกียร์ ช๊อคอัพ แหนบ พวงมาลัย เฟืองท้าย และช่วงลล่างในส่วนอื่น ๆ ถ้ามีสิ่งใดที่สังเกตผิดจากธรรมดา เช่น มีน้ำไหลออกมาจากบางแห่ง มีส่วนหัก บิด งอ แหนบซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ลองตรวจดูว่าการใช้งานเป็นเช่นไร แต่ข้อแนะนำว่าการตรวจช่วงล่างขอให้เป็นหน้าที่ของช่างที่ชำนาญและท่านแนะคนพามาจะดีกว่า เพราะในบางครั้งท่านดูเองอาจจะไม่ทราบเท่ากับช่าง

- เพลากลาง ท่านต้องลองเอามือจับเพลากลางแล้วลองหมุนขยับกลับไปกลับมาว่ามีระยะหมุนฟรีมากเพียงใด ถ้ามีระยะฟรีมากนั่นแสดงว่าชิ้นส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนหลวม หรือหมดอายุการใช้งาน

- ตรวจดูยางทั้ง 5 เส้น ซึ่งหมายถึงยางอะไหล่ด้วยวามีการใช้งานมากน้อยเพียงใด ดอกยางสึกมากหรือน้อย จะต้องซื้อใหม่หรือไม่

- ตรวจระบบเบรก ด้วยการลองเหยียบเบรกหรือย้ำเบรกดู1เหยียบเบรกแล้วเบรกจมมิดหายไปแสดงว่าเบรกไม่อยู่ หรือต้องย้ำเบรก หลายครั้งจึงจะเบรกอยู่ในส่วนนี้ต้องทดลองขับดู

- ตรวจดูเข็มไมล์ว่ารถใช้งานมามากน้อยเพียงใด ตรวจดูการสึกหรอของยางเบรกและคลัตช์เปรียบเทียบกับตัวเลข ซึ่งอาจถูกแก้ไขจำนวนกิโลเมตรที่วิ่งก็ได้

- ตรวจพวงมาลัย ด้วยการหมุนกลับไปกลับมา เพื่อจะดูช่วงฟรีของพวงมาลัยว่ามีมากน้อยเพียงใด ถ้าช่วงฟรีมากอาจจะเกิดจากช้นส่วนต่าง ๆ ของระบบบังคับเลี้ยวหลวม ก็ต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น ในการซ่อม

เครื่องยนต์

เครื่องยนต์นับเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ทั่วไป ยิ่งในรถยนต์ใช้แล้วเครื่องยนต์เป็นสิ่งสำคัญมาก เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสมบูรณ์จะสามารถลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้มาก และยังเป็นการช่วยให้ผู้ใช้รถเกิดความสะดวกสบายมากขึ้นอีก การตรวจเครื่องยนต์นั้นจะเริ่มจากฝาครอบลิ้นด้านบน,ปะเก็นฝาสูบ,อ่างน้ำมันเครื่อง, เพลาข้อเหวี่ยงหน้าเครื่อง, ก๊อกถ่าย น้ำมันเครื่องซึ่งอยู่ในอ่างและตามท่อต่าง ๆ หม้อกรองน้ำมันเครื่องและอื่น ๆ อีก ฯลฯ

ในส่วนนี้ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดตามจุดต่าง ๆข้างบนการเช็ดก็เพื่อจะตรวจดูรอยรั่วของส่วนประกอบด้านบนว่าน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลซึมออกมาหรือไม่ ควรตรรวจให้ละเอียดอย่าง ช้า ๆ เพราะเครื่องยนต์เป็นตัวจักรขับเคลื่อนต้องทำงานหนักที่สุดจึงควรสังเกตุได้ดี เครื่องยนต์ที่ดีไม่ควรจะมีน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา ถ้ามีควรตรวจดูว่าเป็นส่วนไหนของเครื่องยนต์เป็นส่วนสำคัญหรือไม่ และรั่วมาจากสาเหตุใด เพราะแตกร้าวหรือปะเก็นไม่ดีเพื่อจะได้คิดราคาค่าซ่อมได้ถูกต้อง

ส่วนที่ต้องซ่อมต่อมาคือ ตรวจระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์อย่างเช่น หม้อน้ำ ตรวจดูรอยรั่วต่าง ๆ ข้อต่อที่มีปลอกเหล็กรัดดูว่ามีน้ำรั่วซึมหรือไม่ จุดที่ต้องตรวจดูก็คือ หม้อน้ำหรือรังผึ้ง ท่อยางต่อเข้าเครื่องยนต์เพื่อถ่ายเทน้ำ ท่อยางด้านล่างที่ต่อเข้ากับตัวปั๊ม มีพัดลมหมุนได้ด้วยสายพาน จะต้องมีความตึงพอดี ไม่อย่างนั้นแล้วจะระบายความร้อยไม่ดี

ส่วนต่าง ๆ ที่บอกมาทั้งหมดนี้เป็นการตรวจเช็คสภาพรถยนต์โดยรวมและต้องตรวจตราอย่างถ้วนถี่โดยละเอียด ถ้าให้ดีควรให้ช่างมาตรวจสอบให้ดีจะดีกวาเพื่อความแน่นอน

การทดลองขับ

เมื่อตรวจสอบของเรื่องภายในและภายนอกของรถยนต์ทุกส่วนแล้วคราวนี้ก็คงต้องมาถึงการทดลองขับดูเพื่อเป็นการทดลองกำลังของเครื่องยนต์และการทำงานของระบบช่วงล่างว่าสามารถทำงานได้ดีมากน้อยแค่ไหน การทดลองขับนั้นจะทำให้ทราบถึงระบบชิ้นส่วนของรถยนต์ ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบจุดระเบิดว่าสามารถใช้งานได้ดีหริไม่ ซึ่งในส่วนนี้ท่านต้องมีความชำนาญในการขับรถยนต์มาก่อน สิ่งที่สังเกตในหการทดลองขับรถคือ

-ระบบกันสะเทือนใช้ได้ดีหรือไม่ การทำงานอยู่ในสภาพใด เมื่อตกหลุมหรือเลี้ยวมีอาการผิดปกติหรือไม่ ถ้ามีการสะเทือนมากแสดงว่าช๊อคอัพหรือแหนบไม่ดี

- ลองเบรกห้ามล้อดูว่าใช้งานได้ดีหรือไม่ ระยะทำการเบรกการเหยียบเบรกมีความสัมพันธ์กันมากมายน้อยเพียงใด ถ้าเหยียบแล้วเบรกจมหายต้องย้ำหลายครั้งแสดงว่าเบรกมีปัญหาต้องตรวจเช็คเบรก

- ระบบส่งกำลังยังให้แรงดีหรือขัดข้องประการใด เมื่อขณะเร่งให้สังเกตุดูว่าเครื่องยนนต์ส่งกำลังมีความแรงขนาอไหน ทันอกทันใจหรือไม่ การเข้าเกียร์ยากหรือปล่าว

- พวงมาลัยหนักเบาแค่ไหน สาเหตุอาจจะมาจากยางแบน แต่ถ้ายางไม่แบนก็อาจจะมาจากการเสียหายของชิ้นส่วนภายใน อันนี้ต้องตรวจเช็คให้ละเอียด

ถ้าท่านเป็นผู้ชำนาญในการขับขี่จะสามารถการสังเกตการผิดปกติของรถยนต์ได้ง่ายด้วยความรู้สึกของท่าน แต่ถ้าท่านไม่เป็นผู้ชำนาญควรให้ผู้มีความรู้เป็นผู้ช่วยขับแทน

ในการซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ( มือสอง ) สักคันหนึ่ง จะกลายเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระของท่านนั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยที่ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเลือกอีกครั้ง ท่านควรจะเลือกอย่างใจเย็นไม่ควรใจร้อน ให้ถือคติช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม เพราะถ้าขาดความรอบคอบแล้วท่านอาจจะได้รถที่ไม่ดี เมื่อเลือกซื้อรถยนต์ได้แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาให้ดีมีสภาพพร้อมใช้งานเนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำให้รถของท่านใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและยาวนานตามอายุการใช้งาน

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ระบบการทำงานเครื่องยนต์

เครื่องยนต์นับเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้รถยนต์มีความแตกต่างไปจากรถที่ ใช้แรงฉุดลาก หรือการขับเคลื่อนจากแรงภายนอก เครื่องยนต์จะเป็นตัวสร้างพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนตัวรถให้เคลื่อนที่ไปด้วย ตัวเอง




ในยุคแรกๆของการพัฒนารถยนต์ ได้มีการคิดค้นหาแหล่งที่จะทำให้รถเคลื่อนที่ได้เองอย่างหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแรงลม พลังไอน้ำ พลังงานไฟฟ้า ฯลฯ แต่ท้ายที่สุดเมื่อเห็นว่าการนำเอาเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในมาใช้ในการขับ เคลื่อนรถ เป็นวิธีที่มีปัญหาน้อยที่สุด ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 120 ปีที่ได้มีการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในควบคู่กับรถยนต์มาตลอด และความหมายของคำว่ารถยนต์ยังครอบคลุมไปถึงรถที่เคลื่อนที่ด้วยพลังงานอื่นๆ เช่น รถไฟฟ้า หรือรถไฮบริด(Hybrid)ที่ใช้ได้ทั้งพลังไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายในด้วย
เครื่องยนต์แบบสันดาปภายในที่ใช้กับกับรถยนต์มาตั้งแต่นุคแรกเริ่มเมื่อ 120 กว่าปีก่อน กับเครื่องยนต์ที่ใช้กับรถยนต์

ในยุคปัจจุบัน ยังคงมีโครงสร้างและหลักการทำงานที่แทบจะไม่แตกต่างกัน ความแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์ของรถยนต์รุ่นเก่ากับรุ่นปัจจุบันอาจจะเรียก ได้ว่ามีในส่วนของรูปทรงที่กะทัดรัด และประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นนับร้อยเท่า ยกตัวอย่างเครื่องยนต์แบบสูบเดี่ยวของรถยนต์คันแรกของโลก มีความจุกระบอกสูบ 958 ซีซี. ให้กำลังเทียบเท่ากับม้าประมาณ 0.8 ตัว เทียบกำลังของเครื่องยนต์กับความจุกระบอกสูบ 1 ลิตรแล้วจะมีอยู่ประมาณไม่ถึง 1 แรงม้าต่อลิตร แต่เครื่องยนต์ของรถรุ่นที่จำน่ายในท้องตลาดปัจจุบันจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60 ไปจนถึง 100 กว่าแรงม้าต่อเครื่องยนต์ที่ทีความจุ 1 ลิตร และไม่อาจเทียบได้กับเครื่องยนต์ของรถแข่งที่สามารถผลิตแรงม้าออกมาได้มาก เป็นหลายร้อยแรงม้าเมื่อเทียบกับความจุเครื่องยนต์ 1 ลิตรเท่ากัน นี่คือวิวัฒนาการของสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงร้อยกว่าปี

เครื่องยนต์แบบสันดาป(เผาไหม้)ภายใน

เครื่องยนต์แบบสันดาปภายในได้แก่ เครื่องยนต์ที่มีการระเบิดหรือเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิงกับอากาศเกิดขึ้น ภายในเครื่องยนต์ แรงระเบิดจากการเผาไหม้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนตัว รถ
หลักการทำงานนี้อ่านแล้วอาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นก็ต้องบอกว่า เมื่อเอาอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิงป้อนเข้าสู่เครื่องยนต์และให้มีกระบวนการ จุดระเบิดเกิดขึ้นของส่วนผสมทั้งสองชนิดภายในกระบอกสูบ เครื่องยนต์ก็จะทำงานหรือเกิดการหมุนที่เพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ได้ แล้วเราก็เอาพลังงานจากการหมุนของเครื่องยนต์นี้ไปใช้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ อีกทีหนึ่ง

ความแตกต่างจากเครื่องยนต์สันดาป(เผาไหม้)ภายนอก

เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน จะมีกระบวนการเผาไหม้ของอากาศกับเชื้อเพลิงเกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ เช่นในกระบอกสูบ แต่เครื่องยนต์สันดาปภายนอกถ้าโดยหลักการ้วจะต้องเป็นการเผาไหม้จากภายนอก เครื่องยนต์ แล้วจึงเอาความร้อนจากการเผาไหม้ที่ได้นั้นไปใช้งานอีกต่อหนึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ในการขับเคลื่อนหัวจักรรถไฟใน อดีต ที่อาศัยการต้มน้ำให้ร้อนด้วยเตาที่มีเชื้อเพลิงเป็นฟืน แล้วจึงนำเอาไอน้ำไปขับดันเครื่องจักรไอน้ำอีกต่อหนึ่ง เมื่อเครื่องจักรไอน้ำทำงานจึงสามารถขับดันให้ล้อของหัวรถจักรหมุนได้ และขับเคลื่อนตัวรถไปได้ในที่สุด แต่ก็ด้วยประสิทธิภาพที่ต่ำมาก เพราะต้องสูญเสียพลังงานในการขับเคลื่อนไปหลายขั้นตอนกว่าจะถึงล้อรถ ความนิยมจึงลดน้อยลงไปจนแทบไม่เหลือให้เห็นในปัจจุบัน

เครื่องยนต์สันดาปภายในสามารถแบ่งได้หลายประเภทเช่น

1.แบ่งตามโครงสร้างของเครื่องยนต์ อาจจะได้เป็นเครื่องยนต์แบบลูกสูบธรรมดา, ลูกสูบแบบสามเหลี่ยมหรือโรตารี่ ฯลฯ

2.แบ่งตามวัฏจักรการทำงาน ก็จะได้เป็นเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ หรือ 4 จังหวะ

3.แบ่งตามชนิดเชื้อเพลิง ก็อาจจะได้เป็น เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล เป็นต้น

เนื่องจากรถยนต์ที่ผลิตออกจำหน่าย และนิยมใช้งานกันอย่างแพร่หลายเรียกว่าเกือบจะ100% เป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 4 จังหวะ ที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเบนซินและดีเซลเป็นหลัก และเกือบจะร้อยละ 100 จะเป็นเครื่องยนต์ที่มีลูกสูบวิ่งขึ้นลงในกระบอกสูบที่เรียกว่า Reciprocating engine และมีเพียงเล็กน้อยไม่กี่เปอร์เซนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบลูกสูบหมุนหรือว่า Rotary engine ดังนั้นในบทความที่จะอ้างถึงเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ต่อไปนี้ ถ้าไม่มีการจำเพาะเจาะจงใดๆเป็นพิเศษ จะหมายถึงเครื่องยนต์แบบลูกสูบหรือ Reciprocating ที่ทำงานเป็นแบบ 4 จังหวะเป็นหลัก

เครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ และ 4 จังหวะ

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของเครื่องยนต์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะขอเปรียบเทียบเพิ่มเติมในระบบการทำงานระหว่างเครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะและ 4 จังหวะ

เครื่องยนต์ทั้ง 2 และ 4 จังหวะ ถ้าดูจากภายนอกอาจจะไม่เห็นความแตกต่างของโครงสร้างและส่วนประกอบของเครื่อง ยนต์มากนัก แต่ถ้าศึกษาลึกลงไปภายในจะพบว่า มีชิ้นส่วนประกอบหลายชิ้นที่มีความแตกต่างๆกัน
เครื่องยนต์ 2 จังหวะจะมีส่วนประกอบหลักๆคือ กระบอกสูบ ลูกสูบ แหวนลูกสูบ ก้านสูบ เพลาข้อเหวี่ยง วาล์วอาจจะมีให้เห็นเป็นแบบโรตารี่วาล์วที่หมุนตามข้อเหวี่ยง Reed valveที่อาศัยแรงดูดของลูกสูบ หรืออาศัยลูกสูบทำหน้าที่เป็นวาล์วในตัวก็เป็นได้
ส่วนเครื่องยนต์ 4 จังหวะ จะมีส่วนประกอบของเครื่องยนต์ที่คล้ายกับเครื่องยนต์ 2 จังหวะ แต่จะมีความแตกต่างในส่วนที่เป็นวาล์วหรือลิ้นควบคุมการนำเข้าไอดี หรือคายไอเสียให้เห็นอย่างชัดเจน

เครื่องยนต์ 2 จังหวะ เมื่อเริ่มทำงาน



1.ไอดีจะถูกดูดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ในจังหวะที่ลูกสูบเคลื่อนตัวลงจากจุดสูงสุด ห้องข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์ 2 จังหวะจะถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นห้องกักเก็บไอดีไปในตัว เมื่อลูกสูบเลื่อนลงจากจุดศูนย์ตามบนก็จะเป็นการ”ไล่”ไอดีในห้องข้อเหวี่ยงให้เข้าไปในกระบอกสูบ ผ่านทางช่องพอร์ต (Scavenging port)ที่อยู่รอบๆผนังกระบอกสูบ

2.เมื่อ ลูกสูบเคลื่อนตัวกลับขึ้นจากตำแหน่งล่างสุดอีกครั้ง ก็จะเป็นการบีบอัดไอดีให้มีปริมาตรเล็กลงเหลือเพียง 1 ใน 6-8 ของปริมาตรเดิมเมื่อลูกสูบเคลื่อนขึ้นไปอยู่ตำแหน่งศูนย์ตายบน เมื่อมีการจุดระเบิดเพื่อเผาไหม้ไอดี แรงระเบิดจะขับดันให้ลูกสูบเคลื่อนตัวลงไปสูจุดต่ำสุดอีกครั้งหนึ่ง ในจังหวะนี้ไอดีใหม่จะถูกไล่จากห้องข้อเหวี่ยงเข้าสู่กระบอกสูบเหมือนกับ จังหวะที่ 1 ขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่”ไล่”ไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้ในจังหวะที่ 1 ออกไปด้วย

การทำงานของเครื่องยนต์ 2 จังหวะจะอัดไอดีเพื่อจุดระเบิดเมื่อลูกสูบเคลื่อนขึ้น และมีการดูดเอาไอดีเข้ามาเผาไหม้และไล่ไอเสียออกไปเมื่อลูกสูบเคลื่อนลงใน ทุกรอบการหมุนของเครื่องยนต์

ดังนั้นจึงมีไอดีส่วนหนึ่งอาจผสมปะปนกับไอเสียที่ยังไหลออกไม่หมด และตกค้างอยู่ในกระบอกสูบ หรือไม่ก็มีไอดีบางส่วนเล็ดลอดปะปนกับไอเสียที่ถูกไล่ออกไป ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบและชนิดของวาล์วที่ทำหน้าที่กัก เก็บไอดีที่อยู่ในห้องข้อเหวี่ยง และการออกแบบ Scavenging port ไปจนถึงการคำนวณความยาวของท่อไอเสีย จึงจะทำให้เครื่องยนต์ 2 จังหวะทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดที่รอบใดรอบหนึ่งได้ ข้อด้อยอีกประการหนึ่งของเครื่องยนต์ 2จังหวะก็คือ จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงกว่าเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะเมื่อเทียบกับขนาดความจุของเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ 4 จังหวะ จะมีการแบ่งแยกการทำงานที่ชัดเจนในแต่ละจังหวะ



1.เมื่อเริ่มต้นการทำงานในจังหวะที่ลูกสูบเคลื่อนลงจาก ตำแหน่งศูนย์ตายบน วาล์วไอดีจะถูกเปิดออกเพื่อให้ไอดีไหลเข้าสู่กระบอกสูบอย่างเต็มที่จน กระทั่งลูกสูบเคลื่อนตัวลงไปถึงจุดล่างสุดหรือศูนย์ตายล่าง

2.เมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวขึ้นสู่ตำแหน่งศูนย์ตายบนอีกครั้ง วาล์วไอดีจะถูกปิดพร้อมกับวาล์วไอเสีย ทำให้ไอดีในกระบอกสูบถูกอัดจนมีปริมาตรเล็กลงเหลือ 1 ใน 8-10 ของปริมาตรเดิมและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนพร้อมที่จะถูกจุดระเบิด

3.เมื่อมีการจุดระเบิดของไอดีในห้องเผาไหม้ แรงระเบิดจะขับดันให้ลูกสูบเคลื่อนที่ลงด้านล่างอย่างรุนแรง ทำให้เครื่องยนต์เกิดกำลังในการทำงานขึ้นมา

4.เมื่อลูกสูบเคลื่อนตัวลงไปจนสุดและเคลื่อนตัวกลับขึ้นไปใหม่ วาล์วไอเสียจะเปิดออกเพื่อระบายไอเสียออกไปทางท่อไอเสีย และจะปิดอีกครั้งเมื่อลูกสูบเคลื่อนขึ้นไปอยู่ตำแหน่งสูงสุด ส่วนวาล์วไอดีก็พร้อมจะเปิดเมื่อลูกสูบเคลื่อนลงจากจุดสูงสุดอีกครั้ง เพื่อดูดรับไอดีเข้ามาใหม่

ทั้งหมดนี้คือวัฏจักรการทำงานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ที่มีการจัดการกับไอดี และไอเสียแยกจากกันทีละขั้นตอน ทำให้ประสิทธิภาพในการประจุไอดี หรือคายไอเสียทำได้เต็มที่ ลดการสูญเสียในเรื่องของเชื้อเพลิงลงได้มาก จึงเป็นข้อได้เปรียบของเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ 2 จังหวะที่ทำได้ประหยัดกว่า

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ขับรถตอนฝนตก

การขับรถในขณะฝนตก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถจักรยายนต์




ก่อนต้องรู้จักพื้นฐานของตัวแปรหลักที่เกียวข้องก่อน
1. การขับเคลื่อนของรถ เกิดจากแรงปฏิกิริยาของผิวแรงเสียดทานของถนนกับยาง

2. น้ำมีแรงตึงหร่างโมเลกุล และแรงตึงผิวก็น้อยมาก เมื่อไปแซกอยูระหว่างถนนกับยางทำให้สัมประสิทธฺ์ แรงเสียดทานของยางกับถนนลดลง

3. สสารเคลื่อนจากจุดที่มีพลังงานสูงไปยังจุดที่มีพลังงานต่ำ ในกรณีของน้ำ คือไหลจากที่สูลงที่ต่ำกว่า

4. ถนน ทางโค้ง จะมีมุมเอียงของผิวถนนลงสู่ด้านในของทางโค้ง

5. ถนนใดจะมีระบบระบายน้ำออกจาผิวถนน โดยจะมีมุมเอียงลงเพื่อให้น้ำไหลออก

จากข้อ 1 และ 2
หัวใจของการขับรถในขณะฝนตกหรือ แม้แต้ฝนไม่ตก เพื่อให้ปลอดภัยคือ รถยนต์จะต้องมี
การยึดเกาะของยางกับถนน อย่างเต็มสัมประสิทธฺ์ แรงเสียดทานของยางกับถนน
โดยให้ขับรถหลีกเลียงบริเวณที่ผิวถนนมีน้ำท่วมขัง กระทำได้โดย

1. ในกรณี ถนน 4 เลน ให้ขับรถในเลนที่ผิวถนนอยู่สูงกว่า เพื่อหลบน้ำที่กำลังระบายออกจากถนนซึ่งรองรับน้ำจากเลนด้านบน
2. ในกรณี ถนน 6 เลน ให้ขับรถในเลนกลาง เพื่อให้มีพื้นที่ในการประคองรถทั้งด้านซ้ายและขาว ในกรณีของรถเกิดการลื่นไถล
3. ในกรณี ทางโค้ง ให้ขับรถในเลนด้านนอกของทางโค้งที่ผิวถนนอยู่สูงกว่า เพื่อหลบน้ำที่กำลังระบายออกจากถนนซึ่งรองรับน้ำจากเลนด้านบน

4. หลีกเลี่ยง บริเวณน้ำที่ขังในช่องทางวิ่งของล้อด้านใดด้านหนึ่ง (ซ้านหรือขวา) เพื่อป้องกัน รถหมุนสะบัด จากแรงเสียดทานของล้อทั้งสองด้านไม่เท่ากัน หรืออาจมีหลุมบ่ออยู่ด้านล่างได้
หากเลี่ยงไม่ทัน ให้ผ่อนคันเร่ง ใช้ engine break และให้จับพวงมาลัยทั้งสองมือไว้ให้มั่นคง เพื่อประคองรถให้อยู่ในการควบคุมตลอด

5. ในกรณีของบริเวณน้ำขังในช่องทางวิ่งของล้อทั้งสองด้าน ให้ปฏิบัติตามข้อ 4

ุ6. ในกรณีที่ต้องขับรถลุยน้ำ ให้ใช้สายยางสวมปลายท่อไอเสียต่อมาด้านบนให้สูงกว่าระดับน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันในท่อไอเสียสูงเกินจากที่น้ำที่ท่วมขวางอยู่ ทำให้เครื่องยนต์มีกำลัง ลดลง หรือเครื่องดับ
ในกรณีฉุกเฉิน หรือไม่สามารถหาสายยางได้ทัน ให้ขับโดยใช้เกียร์ 1 และใช้รอบเครื่องให้สูงเพื่อให้ไอเสียสามารถดันผ่านน้ำออกมาได้ เครื่องจะได้มีกำลังพอในการขับเคลื่อน และไม่ให้เครื่องดับ
และไม่ขับรถลุยน้ำในระดับสูงกว่า ท่อไอดี เพื่อป้องกันน้ำเข้าไปในเครื่องยนต์

ึ7. ในกรณีที่ฝนตกหนัก ให้แวะจอดที่ปั้มน้ำมัน ปลอดภัยกว่า

8. ห้ามเปิดไฟฉุกเฉิน หรือไฟผ่าหมาก ในขณะขับรถ เพราะมันทำให้รบกวนการมองเห็นของเพื่อนร่วมทาง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตูได้ และเนื่องจากสํญญาณนี้ใช้ในกรณีรถจดเสียอยู่เท่านั้น

9. ในขณะฝนตกให้ขับรถโดยใช้ความเร็วต่ำ โดยไม่เกะรถคันอื่น (ยกเว้นรถที่ขับด้วยความเร็วเกินที่กฏหมายกำหนด เขากระทำผิดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้คนผิดตลอดไป) และเพื่อระยะห่างจากคันหน้าตามที่ได้เสนอไปในกระทู้ http://www.mesutstudent.com/board/showth...hp?tid=663

ทั้งนี้ท่านต้องดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยูตลดเวลา

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อต้ดงหัดขับรถเอง

นื้อหานี้ ไม่ได้ชี้แนะให้ท่าน อ่านแล้วเอาไปลองขับรถด้วยตัวเองเพียงลำพังคนเดียว สำหรับมือใหม่จำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องมีผู้ชำนาญที่เป็นคนสนิทกับตัวเรา นั่งไปกับเราเพื่อเป็นผู้แนะนำด้วย เว้นแต่ว่าเราพอขับได้แล้ว จะลองขับ คนเดียว ในสถานที่โล่งๆ แต่ก็ควรจะมีผู้แนะนำยืนดูอยู่นอกรถตรงที่เราหัดด้วย การหัดขับรถนั้นไ่ม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงแต่เราฝึกตั้งแต่ตอนที่ไม่ได้อยู่ในรถ ฝึกเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ ทั้งในเรื่องการหมุนพวงมาลัย ไปทางไหน แล้วรถจะเคลื่อนที่ไปทางไหน, ฝึกเหยียบเบรค, ฝึกแตะคันเร่งเบาๆแล้วค่อยๆเร่ง พยายามสร้างความมั่นใจในการขับขี่ หมั่นฝึกบ่อยๆ ก็จะเป็นเอง เช่นเดียวกับการขี่จักรยาน สิ่งสำคัญที่สุดคือความไม่ประมาท ที่จะช่วยเซฟตัวเองได้ดีที่สุด อุบัติเหตุส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่ขับเป็นแต่ประมาท กับคนที่ขับไม่เป็นนั้นน้อยกว่ามาก



การหัดขับรถด้วยตัวเองตอนเริ่มต้นนี้ เราควรฝึกทำสมาธิสักเล็กน้อยด้วย สำหรับมือใหม่ต้องมีอาการเกร็งหรือประหม่าแน่นอนกันทุกคน หากมีอาการอย่างที่ว่านี้ ควรหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นค่อยเริ่มเรียนต่อไป

หาสนามกว้าง ๆ เช่นสนามฟุตบอลโรงเรียนหัดขับครับ ถอยหน้าถอยหลัง หัดเปลี่ยนเกียร์ เมื่อชำนาญ ก็ไปหาถนน ว่างๆขับ พอเป็นก็เรียนรู้กฎจราจร และที่สำคัญที่สุด คือมารยาท
ลำดับขั้นตอน การหัดขับรถด้วยตัวเอง

ให้ผู้ชำนาญ อาจเป็นญาติหรือเพื่อนสนิท หรือแฟน เตรียมรถให้พร้อม
ก่อนขึ้นรถ ให้สังเกตุสิ่งกีดขวาง ทั้งด้านข้าง หน้าและหลังก่อน ว่าไม่มีอะไรขวาง
เปิดรถแล้วเข้าไปนั่งที่เบาะให้เรียบร้อย อย่าสตาร์ทรถในทันที
ตรวจสอบระยะห่างที่เรานั่ง กับพวงมาลััยอยู่ในระยะพอดีหรือไม่ โดยยื่นแขนสองข้างออกไปจับพวงมาลัย แขนต้องไม่ตึงหรือย่อหย่อนเกินไป
มองกระจกซ้าย, ขวา และกระจกหลัง ให้อยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ถนัด
ดูเกียร์ของรถว่าอยู่ตำแหน่ง P หรือตำแหน่ง N เท่านั้น
ดูเบรคมือที่อยู่ข้างๆมือซ้ายว่าถูกดึงขึ้นหรือไม่ ถ้าดึงขึ้นให้เอาลง
เสียบกุญแจรถแล้วหมุนกุญแจช้าๆไป 1 step แล้วสังเกตุไฟที่หน้าคอนโซลว่าปรกติ
หมุนกุญแจอีก 1 ครั้งเพื่อสตาร์ทรถ การหมุนโดยการบิดกุญแจค้างไว้ประมาณ 3 วินาที ติดแล้วเอามือออกจากกุญแจ
ให้รถติดเครื่องไว้สักแป้บ ระหว่างติดเครื่องนี้ให้สังเกตุบริเวณนอกรถ ด้านข้าง หน้า และหลังก่อน
เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางแล้ว ให้ใช้มือซ้ายผลักเกียร์ไปตำแหน่ง D (เดินหน้า) หรือ R (ถอยหลัง)
รถจะค่อยๆเคลื่อนโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง สำหรับรถรุ่นเก่าๆให้แตะคันเร่งเบาๆ


สำหรับการขับออกถนนครั้งแรก อย่าตื่นตระหนก แม้จะโดนบีบแตรไล่ ก็ให้ไปต่อกับสิ่งที่เราจำมาและเดินหน้าต่อไป เวลาออกถนน ถ้าไม่มีใบขับขี่ ต้องมีคนที่มีใบขับขี่ไปด้วย

หัดเรียนขับรถถอยหลัง

ควรกระทำในขณะที่ความเร็วต่ำและขับช้าๆ ขณะหมุนพวงมาลัย ควรให้รถเคลื่อนที่นิดหน่อย (เพราะจะช่วยลดการเสียดสีระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน) โดยเหยียบแตะคันเร่งเบาๆ
หลักการถอยหลัง มีหลักอยู่ว่า ต้องการให้ท้ายของรถยนต์หันไปทางใด ก็ให้หมุนพวงมาลัยไปทางนั้น เช่น ต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางซ้าย ก็ให้หมุนพวงมาลัยไปด้านซ้าย และถ้าต้องการให้ท้ายรถเลี้ยวไปทางขวาก็หมุนพวงมาลัยไปทางขวา
หากมีการจราจรแออัด ในขณะที่จะถอยหลัง ควรเปิดสัญญาณไฟ และสังเกตรถที่ผ่านไปมาทั้งด้านหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา ว่าพ้นระยะในการหักวงเลี้ยวของรถเราหรือไม่ จากนั้นค่อยๆ ถอยช้าๆ เข้าซอง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้การเอี้ยวคอไปมองท้ายรถสะดวกขึ้น
สังเกตการจอดของรถข้างๆ(ถ้ามี) ที่มีขนาดใกล้กันช่วยก็ได้ โดยพยายามให้บานประตูรถอยู่ในระนาบเดียวกัน และระวังเรื่องรถคุณจะจอดล้ำหน้าเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินมิติ หรือขนาดของรถและขนาดช่องว่างพื้นที่ที่จะนำรถเข้าจอด พร้อมด้วยช่องว่างที่เหลือเพื่อหักเลี้ยวด้วย

การทิ้งช่วงห่างระหว่างท้ายรถกับกำแพงด้านหลัง

บ่อยครั้งที่เรามักจะกะระยะไม่ถูก แล้วไม่กล้าถอย กลัวท้ายจะชนโดยเฉพาะในเวลากลางคืน ลองใช้วิธีแตะเบรกช่วย แล้วสังเกตแสงไฟท้าย ประเมินดูได้จากรัศมีของแสงไฟ หากจอดชิดเกินไปจะมีแสงหรี่หรือมองไม่เห็นแสง แต่หากแสงจ้าแสดงว่ายังถอยได้อีก ทั้งนี้ลองสังเกตการจอดของรถข้างๆ ที่มีขนาดใกล้กันช่วยก็ได้ โดยพยายามให้บานประตูรถอยู่ในระนาบเดียวกัน และระวังเรื่องรถคุณจะจอดล้ำหน้าเกินไป ขณะเดียวกันก็ต้องประเมินมิติ หรือขนาดของรถและขนาดช่องว่างพื้นที่ที่จะนำรถเข้าจอด พร้อมด้วยช่องว่างที่เหลือเพื่อหักเลี้ยวด้วย

สติ๊กเกอร์ "มือใหม่หัดขับ" จำเป็นหรือไม่
ติดหรือไม่ก็ได้ ขอให้ขับดีๆก็แล้วกัน แค่เราขับตามกฏ และมีน้ำใจบนท้องถนน ออกถนนคุณต้อง"พร้อม" เพราะว่าเมื่อเกิดอะไรขึ้น คำว่ามือใหม่ใช้เป็นข้ออ้างอะไรไม่ได้ครับ บางท่านก็กลัวติดไว้แล้วจะมีคนแกล้ง บางท่านก็ติดไว้เพราะเป็นคนเกรงใจคนอื่น แต่บางท่านติดไว้แนวขำขัน อาจช่วยให้คนขับตามหลังหายเครียดหายเซ็งได้

หัดขับรถกันนานแค่ไหน ถึงจะกล้าขับออกต่างจังหวัด
ขับรถจนคล่อง ควบคุมรถให้อยู่บนถนนอย่างปลอดภัย รู้จังหวะเร่งแซง หลบทางให้คันที่ขับเร็วกว่าแซงไป
และสำคัญต้องอ่านเครื่องหมายบังคับจราจรให้เข้าใจ เส้นประเส้นทึบบนพื้นถนนต้องรู้จัก ป้ายเตือนทางโค้ง
ทางลาดชันต้องทำตามป้ายบังคับ

มันอยู่ที่ใจ บางคนขับรถมาเป็นปี ยังไม่กล้าออกต่างจังหวัด ทำใจกล้าๆ ไม่ต้องกังวลรถคันอื่น ตั้งใจขับรถเราให้อยู่ในเลนของเรา
คันอื่นที่เค้าชำนาญ เค้าเห็นว่าเราช้า ยังไม่ชำนาญ เค้าจะหลบเราเอง

ขับในเลนตัวเอง ถ้าไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่งแซง เปลี่ยนช่องจราจรก็เปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณ แล้วก็ดูกระจกหลังก่อน ว่างแล้วค่อยออก ที่สำคัญ รักษาระยะห่างจากคันหน้าอย่างน้อยสองช่วงคันรถ หรือระยะที่มั่นใจได้ว่าเบรกทัน เพราะ ตจว. สิบล้อเยอะครับ พี่ท่านนึกจะออกก็ออก ออกครึ่งคันแล้วค่อยเปิดไฟเลี้ยวบอก อันนี้ต้องระวัง ไม่จำเป็นอย่าตามก้นสิบล้อ เวลาแซงสิบล้อต้องระวังมากๆ ดูด้วย บางทีเค้าเบียดมาโดยไม่บอกเรา

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เมื่อคิดจะซื้อรถต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

คนเรามีเหตุผลร้อยแปดประการถ้าอยากจะมีรถสักคัน แม้รู้ว่าการมีรถเป็นเรื่องสิ้นเปลือง บางคนความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกไม่มีในหัว แค่ขับเป็นก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่จะซื้อรถมาใช้สักคัน



"ทำไมจะมีไม่ได้ มีแล้วสะดวกไปไหนมาไหนไม่ต้องลำบากใช้รถเมล์ แท็กซี่"

"โหพี่ โก้จะตายรถรุ่นนี้ใครมี เท่โคตร ๆ "

"มันจำเป็น บ้านไกลที่ทำงาน ทางก็เปลี่ยวกลับดึก ๆ ดื่น ๆ ไม่มีรถจะทำอย่างไร"

"อาชีพผมมันจำเป็น ไม่มีรถก็ไม่สะดวก ติดต่อลูกค้าลำบาก"

ฯลฯ

ว่ากันไปได้เรื่อย ๆ ถ้าคนอยากจะได้อะไรสักอย่าง แต่การซื้อรถไม่ใช่ว่าร้อยหรือพันบาท ถ้าพร้อมสู้ราคาเรือนแสนเรือนล้านและคิดว่ามีปัญญาหามาจ่ายไฟแนนซ์ได้โดยไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร เชิญตามอัธยาศัย แต่ที่ต้องมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวเพราะว่า ทุกวันนี้กรณีร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรถยนต์มีมากขึ้นเรื่อย ๆ หลากหลายรูปแบบ จึงอยากจะนำเอาประสบการณ์ของคนเหล่านี้มาถ่ายทอดเพื่อเป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่คิดจะมีรถ หรือมีรถอยู่แล้วแต่ยังไม่เจอปัญหาอะไรให้ได้ตระหนักไว้ โดยจะว่าเป็นตอน ๆ ไป

โอกาสครั้งแรกนี้ขอเสนอด้วยเรื่อง ความจำเป็นและความเหมาะสมของการใช้รถก่อน

1.อย่าเชื่อคำโฆษณา

เพราะคุณจะผิดหวัง โฆษณาจะให้ข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ขายไม่ใช่ผู้ซื้อ สิ่งที่นำมากล่าวในโฆษณามีแต่สิ่งดี ๆ ทั้งนั้น

2.การเลือกใช้เครื่องยนต์

คุณใช้รถในเมืองหรือใช้รถเพื่อเดินทางไปมาระหว่างจังหวัด รถที่คุณต้องการนั้นต้องมีการบรรทุกสิ่งของด้วยหรือไม่ นั่งคนเดียวหรือแค่นั่งไปกับหมาตัวโปรดเพื่อชมวิวทิวทัศน์ คำถามเหล่านี้ต้องตอบให้กระจ่างใจเพื่อจะได้เลือกขนาดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยเฉพาะยุคนายกทักษิณที่ค่าบริการน้ำมันแพงหูฉี่นี้ หากคุณใช้รถในเมืองที่การจราจรติดขัดเสียเหลือเกิน รถต้องหยุดต้องออกตัวบ่อย ๆ และก็ไม่ได้ต้องบรรทุกข้าวของอะไร ขนาดของเครื่องยนต์เพียงแค่ 1300 ซีซี น่าจะเพียงพอแล้ว หรือเลือกรถยนต์เกียร์ธรรมดาก็ช่วยประหยัดน้ำมันได้มากกว่าเกียร์อัตโนมัติ

3.การซื้อรถใหม่หรือรถเก่า (มันมีปัญหาทั้งคู่แหละ)

สิ่งที่คุณต้องดูหากเป็นรถใหม่ คือชื่อเสียงของบริษัทรถยนต์ที่ต้องการซื้อ ตรวจสอบดูว่ามีการร้องเรียนปัญหาเรื่องรถบ่อยแค่ไหน ส่วนมากเป็นเรื่องอะไร ศูนย์บริการมีมากพอไหมและมีคุณภาพหรือไม่ การให้สัญญาหรือการรับประกันหลังการขายเป็นอย่างไร การแสดงความรับผิดชอบกับผู้บริโภค พวกนี้จะเป็นตัวตัดสินใจที่สำคัญ นอกเหนือไปจากเรื่องราคาที่เหมาะสมและรถที่อยู่ในความตั้งใจซื้อของคุณ

รถมือสองหรือรถเก่า เรื่องคุณภาพต้องดูให้มากกว่ารถมือ 1 สักหน่อยเพราะรถเคยผ่านการใช้งานมาแล้ว ย่อมมีการเสื่อมสภาพลงไป เพราะฉะนั้นต้องดูเครื่องยนต์ว่ามีการยกเครื่องใหม่หรือยัง การใช้งานมีลักษณะปกติไหม ทางที่ดีมีที่ปรึกษาเรื่องรถไว้ช่วยคุณดูด้วยสักคนก็จะดีมาก ๆ

4.ตรวจดูเงินในกระเป๋าสตางค์

ความมั่นคงทางการเงินของคุณเป็นอย่างไร ว่าไปสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เป็นปัญหาที่มีการร้องเรียนมากสุด คือรถโดนยึด การถูกเอาเปรียบจากไฟแนนซ์ เพราะปัจจุบันรถยนต์ใหม่ป้ายแดงบางยี่ห้อไม่ต้องมีเงินดาวน์ก็สามารถถอยออกมาขับได้ คือค่อยผ่อนตามหลังได้นานถึง 60 เดือน กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะแม้แต่เงินดาวน์ยังไม่มี ต่อไปจะผ่อนไหวหรือ พอถึงเวลานั้นรถโดนยึด ตามมาด้วยการฟ้องร้องเป็นคดีความกับบริษัท และไม่เพียงเดือดร้อนแค่คนซื้อ โชคร้ายพลอยส่งอานิสงค์สู่ผู้ค้ำประกันด้วย

5. ซื้อรถมือสองเงินผ่อน ถามผู้รู้ก่อนน่าจะดี

ขอยกตัวอย่างกรณีร้องเรียน เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2547 มีผู้บริโภครายหนึ่ง เขียนจดหมายมาว่า "ดิฉันได้ซื้อรถยนต์มือสองมาจากเต็นท์แหล่งรถจังหวัด.... เจ้าของเดิมชื่อนาย "เช่าซื้อ" ผู้ที่ทำสัญญาซื้อขายชื่อนาย "เต้นท์รถ" โดยนายเต้นท์รถบอกกับดิฉันว่ารู้จักสนิทสนมกันดีกับเจ้าของรถคันนี้เขาฝากขายเพื่อจะซื้อรถคันใหม่ ดิฉันจึงตกลงซื้อ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ให้วางดาวน์ก่อน 100,000 บาท และผ่อนชำระกับบริษัทสยามพาณิชย์ลิสซิ่งจำกัด อีก 4 งวด งวดละ 7,407 บาท ต่อจากนั้นให้ชำระส่วนที่เหลือทั้งหมดภายในวันที่ 10 ก.ย. 47 ซึ่งดิฉันได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกประการ

ดิฉันชำระค่างวดตรงตามกำหนดทุกเดือนโดยตลอด และในวันที่ 3 ก.ย. 47 ดิฉันได้นำเงินส่วนที่เหลือทั้งหมด คือ 162,954 บาท เพื่อไปชำระให้หมดเพราะอยากจะโอนรถเร็ว ๆ หลังจากที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว นายเต้นท์รถบอกว่า จะจัดการโอนรถให้เรียบร้อยภายใน 1 อาทิตย์

เมื่อครบกำหนดตามที่นัดไว้ นายเต้นท์รถโทรศัพท์มาขอเลื่อนวันโอนรถ โดยบอกว่า นายเช่าซื้อ ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมเซ็นต์เอกสารมอบฉันทะผิด ต้องเอาไปให้เซ็นต์ใหม่ ดิฉันก็ไม่ว่าอะไร ผ่านไปอีก 2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปถามนายเต้นท์รถอีก คราวนี้นายเต้นท์รถบอกว่า มีปัญหากับไฟแนนซ์ โดยทางบริษัทบอกว่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันได้นำเอกสารไปยืนยันว่า ไม่เคยค้างจ่ายก่อนกำหนดด้วยซ้ำไป นายเต็นท์รถก็พูดในทำนองจะขอเงินเพิ่ม อ้างว่าขาดทุนเพราะไม่ได้ตรวจสอบก่อนว่าเจ้าของเก่ามีค้างชำระค่างวด ดิฉันไม่ยอมเพราะเห็นว่ากำลังถูกเอาเปรียบ นายเต้นท์รถจึงขอเวลาบอกว่า ขอคุยกับไฟแนนท์อีกรอบว่า ค่างวดชำระค้างที่ใครกันแน่ ตอนนี้ดิฉันเริ่มสงสัยเพราะถูกเลื่อนนัดถึง 2ครั้ง จึงเรียนปรึกษาทางศูนย์พิทักษ์สิทธิว่าควรดำเนินการอย่างไรดี"

กรณีตัวอย่างนี้เป็นปัญหายอดฮิดที่ทางศูนย์ได้รับคำปรึกษาบ่อย ๆ หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะซื้อรถมือสองซึ่งผู้เขียนก็มีความเชื่อว่ารถมือสองดี ๆ มีถมไป คนขายดี ๆ ก็มีถมไป ที่สำคัญประหยัดเงินได้หลายแสนบาท แต่คุณต้องรอบคอบหาผู้รู้หาที่ปรึกษา เชื่อเถอะว่า ทุกอาชีพมีทั้งคนดีและคนไม่ดีฉะนั้นเราต้องรอบคอบให้มาก ๆ สำหรับกรณีข้างต้น ตอนนี้นายเต้นท์รถเขาก็ได้รับกรรมของเขาแล้วเขาก็คงสำนึกบ้างล่ะนะ

6. มีรถแล้วอย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์

ลองดูกรณีนี้กัน "น้านิลคนรู้จักของผู้เขียนได้ซื้อรถกระบะมาคันหนึ่ง อายุรถคันดังกล่าวของแกก็ประมาณ 7 ปี สภาพรถ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่า เป็นรถที่พร้อมใช้งาน ทุก ๆ วัน แกก็ใช้ขับในหมู่บ้านไม่ได้ไปไหนไกลมาก จนมาวันหนึ่งคราวซวยมาเยือน แกขับรถไปชนรถเบ็นซ์เข้า กรณีนี้แกไม่ได้ตั้งใจเผอิญมีหมาน้อยวิ่งตัดผ่านหน้ารถทำให้ต้องหักหลบ ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยของรถเบ็นซ์คู่กรณี ส่งใบเรียกเก็บค่าเสียหายจากแกเป็นเงิน 100,300 บาท (หนึ่งแสนสามร้อยบาทถ้วน) แกส่งเสียงอ่อย ๆ มาปรึกษาว่า แกต้องจ่ายไหม คำตอบคือ ต้องจ่ายเพราะแกเป็นคนผิดสำหรับกรณีนี้"

นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมซื้อรถต้องมีประกันภัยรถด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่า รถหนึ่งคันที่เราซื้อมาจะก่อปัญหาอะไรให้กับเราในอนาคต จะไปชนไปเสียอย่างไรบ้าง ถ้าเรามีแต่ปัญญาซื้อ แต่เราไม่รู้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรตามมาบ้าง เราก็อาจเป็นอย่างน้านิล แต่ถ้าหากเราได้ทำประกันภัยรถยนต์ไว้ หากเรามีปัญหาอย่างน้าเราไม่ต้องทำอะไรแต่จะเป็นภาระของบริษัทประกันภัยไปคุยกันเอง