วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการล้างรถ ,วิธีล้างรถที่ถูกวิธี

สำหรับคนเมืองแล้วดูเหมือนว่ารถจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต หลายคนใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอยู่ในรถ เด็กบางคนแทบจะเรียกได้ว่าโตบนรถเลยทีเดียว เมื่อใช้รถเราก็ต้องรู้จักดูแลเพื่อให้สามารถใช้งานได้นานๆ ก็รถแต่ละคันราคาไม่น้อยนี่ครับ แต่คุณรู้มั๊ยว่ารถก็ไม่ต่างจากคน นอกจากการบำรุงรักษาภายในแล้ว การดูแลรักษาภายนอกก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แค่การดูแลเครื่องยนต์อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ หากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คงต้องขอเปรียบเทียบกับคุณผู้หญิงที่ต้องการการถนอมผิว อาบน้ำ ทาครีมบำรุง ก็เจอกับแดดร้อน มลพิษ ฝุ่น ควัน มาทั้งวัน ไม่ดูแลให้ดีก็คงแย่เหมือนกัน รถยนต์ก็เช่นกันครับ ดังนั้นหากว่าเราจะหันมาใส่ใจกับเจ้าเพื่อนมีล้อให้มากกว่าเดิมอีกนิดหน่อย ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ลองมาดูกันดีกว่าครับว่าควรดูแลอย่างไรให้ผิวรถสวย สะอาดใส ไร้ริ้วรอย






เคล็ดลับง่าย ๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอยและไม่ทำลายสีรถ
1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด

2. โดยปกติแล้ว การล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ

3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน แล้วค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่างนะครับ

4. แนะนำให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ในการล้างรถครับ ไม่ควรใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่น จะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมากเลยครับ และในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าบ่อยๆ ด้วยครับ

5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถ ผืนที่สองใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจก ด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก ถ้ามีผ้าผืนเดียว ก็แนะนำให้ซักผ้าบ่อยๆ นะครับ เพื่อเอาเศษฝุ่น โคลน ออกจากผ้า รถจะได้สะอาดครับ

6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด ใช้ผ้าแห้งนุ่มเช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะ และไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ

หมายเหตุ: ถ้าล้างเองคนเดียวที่บ้าน แนะนำให้ทำการล้างล้อก่อนนะครับ เพราะถ้าเราล้างตัวรถก่อน แล้วมาล้างล้อทีหลัง จะทำให้คราบ น้ำ คราบแชมพูแห้ง และทำให้เกิดปัญหาคราบน้ำได้ครับ


การใช้น้ำฉีดเป็นวิธีที่ดีสำหรับการล้างรถ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่จำเป็นต้องล้างรถโดยใช้ถังใส่น้ำ จงท่องจำเอาไว้ในใจว่า ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้า และต้องเปลี่ยนน้ำในถังบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรก และเม็ดทรายที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนบนรถได้ครับ

ล้างแทบแย่ แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน

1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อครับ

2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาดนะครับ

3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลยนะครับ

ข้อควรระวัง!!!

1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน

2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้

3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่น เพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้


ที่มา

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

การรักษาเครื่องเสียงภายในรถยนต์

1. การดูแล และการรักษาเครื่องเสียงภายในรถยนต์ ถ้าจอดรถในที่โล่งแจ้งที่มีแดดควรมีม่านบังแดดไว้ที่ลำโพงด้วยไม่อย่างนั้นอาจทำให้ลำโพงเสื่อมได้ เช่น ขอบลำโพงเปื่อย, วอย์คอยน้ำยาละลาย และกรวยลำโพงซีดได้ และจะทำให้เสียงที่ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร (ฟิลม์ติดรถยนต์ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก)



2. สตารท์เครื่องยนต์รถทุกครั้งควรปิดวิทยุเทปเสียก่อน (ถ้าเปิดฟังอยู่) ไม่อย่างนั้นอาจทำให้วิทยุเทปเสียหายได้ เนื่องจากไฟ
กระชากขณะสตารท์รถ



3. แบตเตอรี่รถยนต์หมั่นดูน้ำกลั่นอย่าให้ขาด ระดับน้ำกลั่นลดกว่าที่กำหนด แบตเตอรี่ถ้าครบอายุการใช้งานควรเปลี่ยนใหม่
และการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ใหม่นั้นควรจะต้อง Slow ชารท์ไว้ก่อนอย่างน้อย 3-6 ชั่วโมงจึงนำมาใส่ในรถยนต์ แบตเตอรี่จะให้
กำลังไฟอย่างมีคุณภาพเต็มร้อยเปอร์เซ็น



WMA เทคโนโลยี่ล่าสุดแห่งอนาคตของการจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบของ Audio ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Microsoft และสามารถ
เล่นได้กับเครื่องเล่น MP3 ที่เล่น WMA ได้ จึงทำให้คุณภาพเสียงที่ออกมามีความสมบูรณ์มากกว่าคุณภาพเสียงที่ได้จาก MP3
เพียงคุณใช้ Window Media Player Version 7/7.1 หรือ Window Media Player For XP เพื่อใช้ในการ
บันทึกเพลงโปรดของคุณให้เป็น "WMA" Files



การล้างหัว CD, LD, DVD สามารถใช้สำลีพันกับไม้ หรือ COTTON BUD เช็ดหัวเลนซ์ไปทางเดียวโดยไม่ต้องชุบน้ำยา
ใดๆ ทั้งสิ้นการล้างวิธีนี้จะดีกว่า การล้างดด้วยแผ่น CD แบบมีขนแปรงในแผ่น


ระบบ RDS ย่อมาจาก RADIO DATA SYSTEM คือวิธีการ รับ-ส่ง ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับโดยการส่ง
สัญญาณเกาะมาด้วยพร้อม กับสัญญาณคลื่นวิทยุระบบ DIGITAL เพื่อไปยังผู้ใช้โดยจะสามารถแสดงผลผ่านทางจอหน้าปัดของ
วิทยุในรถของท่านหรือในบ้านก็ได้หากเครื่องรับ ของท่านเป็นรุ่นที่สามารถรับได้โดยจะแสดงผลเป็นตัวอักษร ข้อความ ตัวเลข
หรือรูปแบบอื่นๆ เพื่อไม่ให้เราพลาดข้อมูลข่าวสารที่สำคัญต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น อุบัติเหตุฉุกเฉิน ถนนปิด น้ำท่วมฉับ
พลัน การจราจร ข้อมูลตลาดหุ้น ข่าวกีฬาบันเทิง หรือสามารถแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเพลง หรือสถานีที่ท่านกำลังรับฟังอยู่ เช่น
ชื่อเพลง ชื่อนักร้อง ชื่ออัลบัม โพรแกรมคอมเสิร์ท การจองตั่วต่างๆ และอีกมากมายในอนาคต อาจกล่าวได้ว่า เป็นการเปลี่ยน
แปลงระบบการกระจายเสียงของเมืองไทยครั้งยิ่งใหญ่และในอนาคตอันใกล้อาจมีระบบอำนวยความสะดวกอีกมากมายตามมา
อาทิ เช่น การขอเพลง ON-LINE ผ่านทางวิทยุ เพื่อรับฟังเฉพาะในรถของท่านเองในลักษณะคล้ายระบบ CABLE TV และยัง
มี RADIO PAGING เป็นการใช้งานในลักษณะเดียวกันกับวิทยุติดตามตัวได้อีกในอนาคต



เรื่องของระบบเสียง



ระบบ DOLBY SURROUND หรือ ระบบ PRO LOGIC คือระบบ เสียงที่ประกอบไปด้วย ทิศทางของลำโพงที่อยู่ด้านหน้า
คือ Center และคู่หน้า Surround (อยู่ซ้าย และ ขวา) พร้อมลำโพงคู่หลัง คือ Surround หลัง(แต่เป็น Mono)
และมีตู้ SUB รวมเป็น 4.1 channe



ระบบ DOLBY DIGITAL หรือ ระบบ AC-3 คือระบบ สียงที่ประกอบไปด้วย ทิศทางของลำโพงที่อยู่ด้านหน้า คือ
Center และคู่หน้า Surround (อยู่ซ้าย และ ขวา) พร้อมลำโพงคู่หลัง คือ Surround หลัง(แต่เป็น Stereo) และ
มีตู้ SUB รวมเป็น 5.1 channe



ระบบ DTS ย่อมาจาก DIGITAL THEATER SYSTEM คือระบบเสียงที่มีร่องเสียง 6CH (ถ้า AC-3 เรียกว่า 5.1CH)
ระบบนี้ลำโพงจัดแบบ AC-3 มี Center, Surround หน้า, Surround หลัง, และ Subwoofer แต่สัญญาณ DTS
จะมีความชัดเจนกว่า ระบบ AC-3 ตรงที่ว่าสัญญาณที่ออกมาจากเครื่อง เล่น CD หรือ DVD ไปที่เครื่องถอดรหัสเป็นสัญญาณ
ดิจิตอล ซึ่ง AC-3 เป็นสัญญาณอนาล็อก เสียงของ DTS จึงมีความชัดเจน และให้ความสมจริงเหนือกว่า



ระบบ SDDS ย่อมาจาก SONY DINAMIC DIGITAL SOUND คือระบบเสียงที่มี 7.1CH ส่วนใหญ่จะใช้ในโรงภาพยนต์ มี
ลำโพง Center, Surround หน้า, Surround หลัง, Subwoofer และมีเพิ่มจากระบบ DTS ตรงที่มี Surround
กลาง อีก 2CH เสียงให้ความชัดเจนขึ้น แต่เสียงในระบบ DTS จะเคลียร์ และฟังดีกว่า เนื่องจากเป็นระบบ DIGITAL ซึ่งเปิด
จาก CD ROM LINK กับแผ่นฟิลม์หนัง แต่เสียงในระบบ SDDS ใช้เสียง DIGITAL ในร่องหนามเตย จึงมีความคมชัดสู้
ระบบ DTS ไม่ได้



ระบบ HI-POWER คือระบบที่ใช้กำลังในตัวเอง เช่น วิทยุ-เทป ติดรถยนต์โดยทั่วไป ซึ่งปัจจุบันมีกำลังวัตต์ถึง (60W x
4CH) แล้วขับกำลังในตัวเองออกสู่ลำโพง



ระบบ SINGLE-AMP คือระบบ วิทยุ-เทป หรือ ซีดี ถ่ายทอดสัญญาณสู่ AMP 1 ตัว (2 CH) โดยใช้กำลังวัตต์จาก
AMP ขับกำลังออกสู่ลำโพง



ระบบ BI-AMP คือระบบ เสียงที่ใช้ AMP 2 ตัว (ตัวละ 2CH) ตัวแรก ขับลำโพงซับวูฟเฟอร์ ตัวที่ 2 ขับลำโพงกลาง
แหลม โดยอาศัย อิเลคทรอนิคครอสส์ 2ทาง จ่ายความถี่ต่ำ และความถี่กลางแหลมให้



ระบบ TRI-AMP คือระบบ เสียงที่ใช้ AMP 3 ตัว (ตัวละ 2CH) AMP ตัวแรกขับลำโพง ซับวูฟเฟอร์ AMP ตัวที่ 2 ขับ
ลำโพงเสียงกลาง AMP ตัวที่ 3 ขับลำโพงเสียงแหลม เสียงย่าน ต่ำ, กลาง, และสูง อิสระโดยมี อิเลคทรอนิคคอรสส์
แบบ 3 ทาง เป็นตัวจ่ายสัญญาณให้ ระบบ CROSS-AMP คือระบบเสียงที่ใช้ AMP 4 ตัว (ตัวละ 2CH) AMP ตัวแรก ขับ
ลำโพงซับวูฟเฟอร์(ทุ้ม) AMP ตัวที่ 2 ขับลำโพงเสียงต่ำ AMP ตัวที่ 3 ขับลำโพงย่านกลาง AMP ตัวที่ 4 ขับลำโพงย่าน
สูง โดยมี อิเลคทรอนิคคอรสส์ แบบ 4 ทาง เป็นตัวจ่ายสัญญาณเหล่านี้ให้

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

จุดเริ่มต้นของนักเล่นเครื่องเสียง

ทุกวันนี้มีเครื่องเสียงมากมายหลายยี่ห้อผลิตออกมาให้นักเล่นไว้เสียเงินซื้อ และรองรับกับตลาดหลายระดับตั้งแต่โลว์-เอนด์ มิดเอนด์ จนถึงไฮเอนด์นักเล่นเครื่องเสียงมือเก่าคงไม่มี ปัญหาในเรื่องที่จะเลือกซื้อหรืออัพเกรด ชุดเครื่องเสียงว่าจะซื้อหรือจะเปลี่ยนลำโพงอะไร แอมป์อะไร ครื่องเสียงซีดีแบบไหน แม้กระทั่งสายสัญญาณหรือสายลำโพงตัวโตจึงจะเข้าชุดกับเครื่องที่มีอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นมือใหม่การเลือกซื้อเครื่องเสียงเหมือนกับเดินเข้าไปในเขาวงกต ยิ่งอ่านหนังสือเครื่องเสียง ยิ่งสับสนว่าจะเลือกซื้อยี่ห้ออะไรแบบไหน เพราะมีตัวเลือกยิ่งมาก ก็มีหลายข้อให้เลือก



ดังนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อเครื่องเสียงสักชุด นอกจากจะศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ของสินค้าแล้ว สิ่งที่นักเล่นต้องรู้กันด้วยว่าตัวเราเองนั้นชอบอะไรแบบไหน สำหรับบทความนี้มือเก่าในเรื่องเครื่องเสียงอาจจะผ่านไปเลยก็ได้นะครับ เพราะผมตั้งใจที่จะปูพื้นให้ผู้อ่านที่เป็นมือใหม่ที่เป็นมือใหม่ มีความเข้าใจตรงกันก่อน เหมือนการปรับฐานด้านความคิดให้มีเท่ากัน เมื่ออ่านในบทความต่อ ๆ ไปก็จะสามารถทำความเข้าใจได้ตรงกัน และง่ายที่จะทำความเข้าใจเพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจเล่นเครื่องเสียงอย่างถูกวิธีระบบ จะได้ไม่มีปัญหาที่พบบ่อย ๆ คือ "ทำไมฟังที่ร้านแล้วเสียงดี แต่พอยกกลับมาฟังที่บ้านเสียงที่ได้ไม่เหมือนกับฟังที่ร้าน"

บทความนี้ผมจะเริ่มจาก Sound system ก่อนว่า ในชุดเครื่องเสียงของเรา เราจะให้ความสำคัญกับสิ่งไหนเป็นลำดับแรกแต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจว่าชุดเครื่องเสียงประกอบด้วยอะไรก่อน

ลำโพง
แหล่งขยายสัญญาณ เช่น อินติเกรตแอมป์ หรือเพาเวอร์แอมป์+ปรีแอมป์
แหล่งกำเนิดโปรแกรม เช่น เครื่องเล่นซีดี เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเล่นเทป เครื่องรับคลื่นวิทยุ
สายเชื่อมสัญญาณและสายลำโพง

Sound system ส่วนใหญ่ก็จะมีอุปกรณ์หลัก ๆ ดังที่กล่างไปแล้วถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งไปก็ไม่สามารถจะฟังเพลงหรือดนตรีใด ๆ ได้ ถ้าถามผมว่าจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากน้อยกว่ากันผมให้ความสำคัญที่สี่หัวข้อเท่าเทียมกัน ผมมีความเชื่อว่าอุปกรณ์หลักนั้น ถ้ามีส่วนใดด้อยคุณภาพไปตัวใดตัวหนึ่งก็จะทำให้ชุดเครื่องเสียงของเราแสดงศักยภาพได้ไม่เต็มที่ หมายความว่า ต่อให้นักเล่นลงทุนกับลำโพงที่ดีที่สุด แต่ถ้าใช้แอมป์ที่พอขับเสียงได้ คุณก็ไม่สามารถได้ยินเสียงที่ดีที่สุดของแหล่งดนตรีนั้น ๆ จากลำโพงที่คุณลงทุนไป หรือถ้าลงทุนกับลำโพงกับแอมป์ที่มีคุณภาพ แต่แหล่งกำเนิดโปรแกรมของคุณเป็นเครื่องเล่นจากจีนแดงราคาถูก ก็คงไม่สามารถถ่ายทอดเสียงที่ดีออกมาได้เช่นกัน

แต่ว่าในชุดเครื่องเสียง "ลำโพง" เป็นตัวเดียวที่จะแสดงบุคลิกของเสียงได้ชัดเจนที่สุด มีนักเล่นเจนจัดท่านหนึ่งบอกว่าการเปลี่ยนลำโพง เท่ากับการเปลี่ยนบุคลิกของเสียงที่เราจะได้จากชุดเครื่องเสียงเดิม ๆ ของเรา ดังนั้น ถ้าจะอัพเกรดการอัพเกรดลำโพงจึงได้เสียงที่เปลี่ยนไป แต่ผมมีความเห็นที่แตกต่างกันคือการอัพเกรดลำโพงกับชุดที่มีอยู่แล้วนี้ ไม่ใช่การอัพเกรดเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางของเสียงจากชุดเดิมต่างหาก ลำโพงมีความสำคัญมากสำหรับการเลือกซื้อชุดเครื่องเสียงของมือใหม่เพราะการเลือกลำโพงที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้เล่นก็จะทำให้เราไม่มีความสุขกับเสียงที่ได้ยิน เพราะบุคลิกของลำโพงมีผลมหาศาลในเรื่องรสนิยมต่อการฟัง เช่น ถ้าคุณชอบฟังเพลงร็อค แต่คุณกลับไปซื้อลำโพงที่ไม่ค่อยมีเสียงเบสเครื่องเสียงของคุณก็อาจจะตอบสนองความต้องการนี้ไม่ได้ หรือถ้าคุณชอบฟังเพลงป๊อปหวาน ๆ คุณเลือกลำโพงที่ขับเสียงเบสเยอะ ๆ ต่อให้ใช้ลำโพงราคาแพง เสียงคุณต้องการก็ไม่เกิด

ส่วนใหญ่ผู้ผลิตลำโพงจะมีเทคนิคในการทำลำโพงที่แตกต่างกัน ตั้งแต่วัสดุที่ใช้ วงจรตัดความถี่ การสร้างตู้ การบุภายในล้วนแล้วแต่ให้บุคลิกที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละเทคนิคก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ออกแบบว่าเน้นรับใช้คนกลุ่มไหนบ้าง สำหรับผม จะแนะนำให้มือใหม่ในการเล่นเครื่องเสียงเลือกซื้อลำโพงเป็นลำดับแรก ก่อนที่จะซื้อแอมป์หรือเครื่องเล่นที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง เพราะลำโพงจะแสดงบุคลิกที่ชัดเจนและแน่นอนที่สุดออกมา โดยเฉพาะแนวเสียงที่เป็นรสนิยมที่คุณชอบเมืองเราเลือกลำโพงได้แล้วค่อยหาแอมป์มาจับคู่กับลำโพง ซึ่งจะง่ายกว่าซื้อแอมป์ก่อนแล้วค่อยซื้อลำโพง เพราะบางครั้งลำโพงที่มีค่าความไวต่ำ เรายังพอหาแอมป์ที่มีกำลังขับสูง ๆ มาขับได้แต่ถ้าเราซื้อแอมป์มาก่อน แอมป์ตัวนั้นมีกำลังขับ 50 วัตต์ ลำโพงที่เราต้องการจะจำกัดตัวเลือกลงไปมาก เท่ากับว่าเราจะเลือกได้เฉพาะลำโพงที่มีค่าความไวที่ค่อนไปทางสูง ซึ่งเราอาจจะหาลำโพงเสียงที่เราถูกใจไม่ได้เลย

ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับลำโพงที่มือใหม่ต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะซื้อทุกครั้ง

Frequency response : ค่าความกว้างในการตอบสนองความถี่เสียง ลำโพงในปัจจุบันมักเน้นค่านี้กันมาก โดยให้มีความกว้างของการตอบสนองความถี่ทุกย่านเสียง
Recommended amplifier power : คำแนะนำกำลังขับของแอมป์ที่ให้ผลดีที่สุดกับลำโพง เช่น บางเจ้าจะแนะนำว่าความใช้แอมป์ที่มีกำลังขับระหว่าง 20-80 วัตต์ เป็นต้น ผู้ซื้อจะสามารถหาแอมป์ที่มีกำลังขับตามสเปคนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแอมป์จะขับลำโพงนั้น ๆ ไม่ออกได้
Sensitivity : ผู้ผลิตบางรายอาจจะไม่ได้ให้คำแนะนำเรื่องกำลังขับต่ำสุดหรือสูงสุดมา แต่ค่าความไวของลำโพงจะทำให้เราสามารถประเมินได้ว่าลำโพงตัวนี้บริโภควัตต์แค่ไหน เช่น ลำโพง A มีค่าความไวที่ 87dB ต่อเมตร หมายความว่าลำโพง A อาจจะต้องใช้แอมป์ที่มีกำลังขับไม่ต่ำกว่า 50-100 วัตต์ นั่นเอง ส่วนลำโพง B มีค่าความไวที่ 90dB ต่อเมตร แสดงว่ามีค่าความไวค่อนข้างสูงผู้เล่นสามารถใช้แอมป์หลอดกำลังขับสัก 10-20 วัตต์ มาเล่นก็ขับลำโพงชนิดนี้ได้
Impedance : ค่าความต้านท่านของลำโพง ลำโพงส่วนใหญ่จะมีค่าความทานที่ 4 Ohms, 6 Ohms และ 8Ohms

ค่าสำคัญที่ต้องทราบก็มีคร่าว ๆ ประมาณนี้ครับส่วนค่าอื่น ๆ เช่นลำโพงมีขนาดเท่าไหร่ ลำโพงรุ่นนี้เป็นแบบสองทางหรือสามทางเป็นแบบไบไวร์ หรือซิงเกิลไวร์ ทวีตเตอร์ทำจากวัสดุอะไรคงต้องศึกษากันเองนะครับ แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ที่ผู้เล่นต้องศึกษาก็คือ 4 ตัวที่ว่านี้ เมื่อได้ค่าของลำโพงแล้วเราจึงสามารถตัดสินใจได้ว่าจะต้องเล่นแอมป์แบบไหนอย่างไรซึ่งเราจะเลือกซื้อแอมป์ได้อย่างลงตัว

สำหรับคนที่หลงใหลแอมป์หลอดวัตต์ต่ำ ๆ อาจจะเป็นกลุ่มคนที่หาลำโพงคอมเมอร์เชียลเล่นยากที่สุด เพราะในปัจจุบันผู้ผลิตหันไปผลิตลำโพงประเภทดูหนังกันมากขึ้น ซึ่งบางครั้งทำให้คนชอบเสียงจากแอมป์หลอดต้องขวนขวายหาลำโพงที่มีค่าความไวสูงมาใช้ได้ยาก บางครั้งหาได้แต่เสียงก็ไม่ถูกใจก็มีเยอะ ครั้นจะหาซื้อลำโพงที่มีความไวระดับ 95-100 dB อาจจะต้องเจอราคา ลำโพงมหาโหดก็เป็นได้ ซึ่งจุดนี้มีสองทางเลือกครับ ทางแรก คือหาแอมป์หลอดที่เป็นแบบพุชพูล ซึ่งให้กำลังขับได้มากตั้งแต่30-60 วัตต์ (กำลังแอมป์หลอดมากกว่าแอมป์โซลิตสเตด) เท่านี้ก็มีความสุขกับลำโพงเสียงถูกใจกับแอมป์หลอดได้แล้ว

ทว่าบางคนไม่ชอบแอมป์แบบพุชพูล ชอบแอมป์ซิงเกิลเอนด์ที่มีกำลังขับน้อย ๆ ถึงจุดนี้นักเล่นอาจจะต้องเลือกที่สร้างลำโพงความไวสูงขึ้นมาฟังเองเสียแล้ว ดังนั้น ทางเลือกที่สองนี้อาจจะดูหนักหนาแต่ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมสำหรับนักเล่นเครื่องเสียงหลอดที่ชอบความนุ่มของเสียงแล้ว แอมป์กำลังขับน้อย ๆ คือสวรรค์ดี ๆ นี่เอง...