วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

เกร็ดเล็กๆน้อยซื้อรถมือ2แบบไม่เสียรู้ใคร


ตัวอย่าง เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ รถที่อุบัติเหตุมาแล้วในประเภท1 และเทคนิคซ่อมตบตาผู้รู้

เทคนิคดูรถประเภท 1

1.ให้ ดูที่สติกเกอร์จากโรงงาน ที่ติดอยู่บริเวณ คานรับฝากระโปรงหน้า เสากลาง หรือขอบประตู ถ้ายังมีอยู่ ไม่ชำรุดเสียหายมันจะเป็นตัวบ่งบอกว่า รถคันนั้นไม่เคยมีอุบัติเหตุ

2.ให้ ดูน็อตที่อยู่ในห้องเครื่อง ดูสีที่แต้มหัวน๊อต ดูรูต่างๆเป็นรูปทรงกลมหรือไม่ หากไม่มีร่อยรอยถูกขัน หรือไม่มีสีหลุดหายแล้ว และรูยังเป็นรูปทรงกลม รถคันนั้นไม่เคยประสบอุบัติเหตุ (กรณีนี้รถมีอายุไม่เกิน 2-3 ปี เกินจากนี้สีหัวน๊อตจะเจือจางไปแล้ว)

3. ดูสีที่ติดตามขอบคิว ขอบประตู ดูตะเข็บ รอยอาร์ค รอยซีลตามรอยต่อบริเวณห้องเครื่อง เสากลาง แผงท้าย หัวแชชซีส์ แผงหลังไฟใหญ่ คานใต้หม้อน้ำ แชชซีส์หน้า-หลัง เคาะฟังเสียงหนาทึบของสีโป้ว ฝากระโปรง ประตู บังโคลน ดูร่องประตู ร่องไฟใหญ่ ร่องกันชนหน้า-หลัง ดูเม็ดสี รูปทรงรถ ดูความคมเส้นสันของรถ ถ้าอยู่ในสภาพเดิมๆ แสดงว่ารถคันนั้นไม่มีอุบัติเหตุ (ที่จริงยังมีจุดดูรถอีกมากมาย ใคร่ขออธิบายคร่าวๆเท่านี้)

แต่ สำหรับ x-ray2car ไม่อาจยืนยันได้100% เพราะหากตั้งใจจะตบตากันจริงๆก็ทำไม่ยาก คนทำรถชนหนัก พลิกคว่ำ ซ่อมเพื่อขาย เขาย่อมรู้ดีว่า บรรดากูรูเรื่องรถมือสองจะดูรถจุดไหน

เทคนิคซ่อมเพื่อขาย รถประเภท 2(เบื้องต้นพอสังเขป)

1. ในกรณีรถถูกชนบริเวณที่มีสติกเกอร์ติดอยู่ ( เป็นสติกเกอร์ชนิดนี้จะพิเศษ มีความเหนี่ยวยากต่อการฉีกขาด ) เขาสามารถจะใช้สติกเกอร์อันเดิมที่ติดรถมา(รถที่ถูกชน) ติดในตำแหน่งเดิม(หลังซ่อมเสร็จ) วิธีการ คือ ใช้ไดร์เป่าผม อังบริเวณสติกเกอร์พออุ่นๆ กาวที่เหนียวแน่นของสติดเกอร์ก็จะละลาย อ่อนตัว แกะออกได้ง่าย และไม่ทำให้สติกเกอร์เสียหาย การทำแบบนี้ก็สามารถตบตาคนดูรถที่ไม่มีประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่ช่างด้วยกันเอง เมื่อเห็นสติกเกอร์ยังอยู่ รอยอาร์คยังมี มักนอนใจ รถคันนี้ไม่เคยมีอุบัติเหตุ แต่ในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น

2. เรื่องน๊อตในห้องเครื่อง ถ้ารูปทรงน๊อตเสีย หรือรอยถูกขันมาแล้ว เขาเปลี่ยนน๊อตใหม่ ใช้น๊อตแบบเดียวกับโรงงาน(มีขายทั่วไป) แล้วใช้สีแต้ม มีแค่นั้น ส่วนเรื่องรูรูปทรงกลม ใช้ตะใบแต่งรูได้ ทั้งส่วนที่เป็นคานรับ หรือแผงหลังไฟ ก็ไม่ต่างกับรถสภาพเดิมๆ

3. เรื่องสีติดตามคิ้ว ตามยางขอบกระจก ขอบประตูรถ ก็ไม่ยาก เวลาทำสีเขาก็รื้อออกหมด ไม่นิยมใช้การปิดกระดาษ ส่วนรอยอาร์ค ตะเข็บ ซีลรอยต่อต่างๆ เขามีวิธีทำรอยอาร์คเทียม(ขอสงวนบอกให้ทราบถึงวิธี เพราะต้องใช้เนื้อที่อธิบายมากเกินไป) น้ำยาซีลตะเข็บมีทั้งแบบ หลอด แบบทา จะเน้นทำจุดสำคัญๆ ที่ตามองเห็น ทำเสร็จออกมาเนียนไม่ต่างกับรถสภาพเดิมๆ

ความจริงบางมุม เกี่ยวกับรถมือสอง

ใน กรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีอู่เคาะพ่นสีและศูนย์ซ่อมรถยนต์ยี่ห้อดังๆ จำนวนนับร้อยนับพันแห่ง ซึ่งเกือบร้อยละ 90 ของอู่เหล่านี้ จะซ่อมรถที่เกิดจากอุบัติเหตุที่มีทั้งประเภทชนเบา ชนหนัก และพลิกคว่ำ ซึ่งหลังจากซ่อมเสร็จ รถเหล่านี้ก็ยังคงมีความบอบช้ำ ไม่สมบูรณ์อยู่ก็มาก ท้ายที่สุดรถเหล่านี้ ก็จะกลับไปสู่ตลาดซื้อขายรถมือสอง ซึ่งทำให้ตลาดรถมือสองมีทั้งรถชนเบา ชนหนัก รถพลิกคว่ำ รถดัดแปลง หรือแม้แต่รถตัดต่อ ขายรวมอยู่กับรถมือสองสภาพดีๆ เต็มท้องตลาด ซึ่งมีปะปนอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

ตาดีได้ ตาร้ายเสีย

รถ มือ สองที่จอดขายตามตลาดรถยนต์ หรือรถบ้านที่เจ้าของขายเอง ซึ่งบางคันหรืออาจจะแทบทุกคันที่สีของรถจะใหม่เอี่ยมเงางาม ทั้งสภาพภายในภายนอก ดูเรียบร้อยสวยงามใกล้เคียงรถใหม่ป้ายแดง แต่หากจะซื้อรถมือสองสักคัน ควรได้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมีประสบการณ์สูงเฉพาะด้าน ให้คำแนะนำและช่วยตรวจเช็ครถให้ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถจะดีที่สุด โดยควรเป็นช่างที่มีความชำนาญเฉพาะทาง ด้านตัวถังรถยนต์จะตรงจุดที่สุด เพราะตัวถังเป็นส่วนที่ควรให้ความสำคัญเป็นประการแรก ซึ่งช่างควรเป็นช่างที่มีอายุงานมากจึงจะสามารถวินิจฉัยสภาพรถได้อย่าง ชัดเจนแม่นยำ

ใช่ว่าใครๆ ก็ดูรถเป็น

รถ มือสองแม้ราคาจะถูกกว่ารถใหม่ป้ายแดง แต่ราคาต่อคันก็ยังหลายแสนบาท บางรุ่นราคาเป็นล้านบาท ถ้าผู้ซื้อดูรถไม่เป็นหรือมีความรู้แบบครึ่งๆ กลางๆ แค่เห็นรถสวยราคาถูกใจ โอกาสที่จะเจอแจ๊คพอร์ต!!!ได้รถมีตำหนิที่อาจเคยประสบอุบัติเหตุอย่างหนัก หรือบางคันอาจมีคนตายมาครอบครองเป็นเจ้าของ ซึ่งหากคุณมาทราบภายหลังก็จะเป็นเรื่องที่น่าช้ำใจ บางทีถึงขั้นเจ็บใจเนื่องจากเสียรู้จากการถูกย้อมแมวขาย

เมื่อถึง เวลา ที่ต้องการจะขายก็จะถูกกดราคาต่ำๆ ซึ่งรถสภาพดีๆ ก็ยังอาจถูกกดราคาได้ และยิ่งถ้าเป็นรถที่มีปัญหามาก่อน จะยิ่งถูกกดราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานอยู่มาก ชวนให้เสียความรู้สึกเสียดายเงินซึ่งไม่ควรจะเสีย และรู้สึกไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เพราะซื้อรถมีตำหนิมาใช้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคุณเลย

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

ขับรถกลางคืนอย่างปลอดภัย




 การขับรถในตอนกลางคืน นั้นโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุนั้นค่อนข้างสูงกว่าตอนกลางวันแต่ถ้าคุณจะขับรถในยามค่ำคืน มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก และเรามีเทคนิคที่ช่วยให้คุณขับรถในยามราตรีได้อย่างปลอดภัย
1 รู้สถานะตัวเองก่อนขับ
     เราไม่ได้บอกให้คุณตั้ง Status แต่การรู้ว่าเรากำลังเป็นอย่างไรก่อนขึ้นขับรถในยามค่ำคืนนั้นคือเรื่อง สำคัญ โดยมาก สิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับการขับรถในยามค่ำคืน คือการเหนื่อยล้า บรรยากาศที่เงียบสงบนั้นชวนหลายคน "หลับใน" ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องสงสัย และถ้าคุณรู้สถานะตัวเองว่า เหนื่อย เพลีย อ่อนล้า ก็ทำให้เราหาทางแก้ เช่นการหาเพลงคึกๆมันส์ๆ ฟัง ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อย หรือถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ ก็จอดข้างทาง พักผ่อนสักนิด โดยเฉพาะ หากคุณเดินทางไกล ช่วยลดความเสี่ยงได้

2 อย่าเข้าใกล้รถที่มีพฤติกรรมแปลกๆ
     เมื่อคุณเดินทางยามค่ำคืน สิ่งที่ควรจำคือ แม้คุณจะพร้อม แต่อย่างวางใจในเพื่อนร่วมทาง เพราะเพื่อนร่วมทางนี่แหละที่สำคัญที่สุด และบ่อยครั้งที่อุบัติเหตุนั้นมีเพื่อนร่วมทางเป็นส่วนสำคัญสิ่งที่ต้อง คำนึงถึงเวลาขับรถในยามค่ำคืนนั้น คงไม่พ้นการที่ต้องระแวดระวัง โดยเฉพาะรถยนต์ที่เดินทางไปกับเรา ซึ่งบางครั้งมีพฤติกรรมแปลกๆ เช่นขับเร็วผิดปกติ หรือมีอาการเลื้อย-ส่าย ขับรถไม่ตรงเลน/กินเลนและ เด็กแว้นซ์ จงพึงระวังและทางที่ดี ถ้าเจอเจ้าหน้าที่ด้านหน้า ให้บอกเจ้าหน้าที่ เพราะคุณอาจเป็นส่วนหนึ่งช่วยให้ถนนปลอดภัยมากขึ้นก็ได้

3 มองให้ละเอียดก่อนใช้ความเร็ว
    หลายครั้งโดยเฉพาะในต่างจังหวันั้น ถนนจะไร้ไฟส่องทาง และเมื่อความมืดเข้ามาเยือนนั้น มันก็ทำให้การสัญจรยิ่งอันตรายมากขึ้น หลายครั้งความประมาทของอุบัติเหตุเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความมืดถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการขับขี่ ดังนั้น พยายามมองให้ดี ถ้าไม่มีรถสวนไฟสูงก็สามารถช่วยได้ เช่นเดียวกับไฟตัดหมอก ที่ช่วยเพิ่มระยะการมองเห็นได้ โดยเฉพาะการขับขี่ในต่างจังหวัด

4 ระแวดระวังตามแยกต่างๆ
     ทางตัดและทางแยก ถือเป็นจุดสำคัญในการขับขี่ยามค่ำคืน เนื่องจากเมื่อการจราจรเบาบางจุดเหล่านี้นั้นมักจะกลายเป็นไฟเหลืองกระพริบ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จนสนใจ อันที่จริงไฟเหลืองที่ติดแทนการปล่อยสัญญาณไฟฟ คือการบอกให้ระวัง และจุดตัดต่างๆเหล่านี้ มันกลายเป็นจุดเกิดเหตุที่บ่อยๆพอๆ กับช่วงทางโค้งอันตราย ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยการชะลอความเร็ว จะดีกว่า

5 เคารพกฏจราจรอย่าเคร่งครัด
    ยิ่งค่ำคืน แม้ถนนจะโล่งแต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้คิอเรื่องของกฏจราจร หลายคนมักจะละเลยการปฏิบัติตามกฏทำให้บ่อยครั้งเป้นต้นเหตุของอุบัติเหตุ หรือไม่ก็เกิดอุบัติเหตุเสียเอง ดังนั้นจำไว้ว่าเคารพกฏให้มากที่สุด เพราะหากคุณไร้ซึ่งกฏโอกาสเสี่ยงก็จะเยอะขึ้นนั่นเอง

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

ป้องกันรถหาย





(1) ล็อคมันไว้  Lock it
- ล็อคกุญแจ ไม่ว่าจะในบ้าน-นอกบ้าน จอดนาน-ไม่นาน รถที่ล็อคมีโอกาสหายน้อยลง 3.55 เท่า และรถที่หายส่วนหนึ่งมีกุญแจ แต่ลืมล็อค
- ใช้ที่ล็อครถอย่างน้อย 2 ระบบที่ใช้กลไก หรือรูปแบบการป้องกันไม่เหมือนกัน ต่างยี่ห้อกันมาใช้
- ล็อครถชนิดที่มีลักษณะเป็นวงรอบ (disc lock) หรือล็อคตัวยู (U-lock) จะดีกว่าแบบคีบหรือหนีบ (fork lock) ...
- ใช้โซ่ล่ามไว้กับเสา หรือสิ่งที่ยึดติดกับพื้นดีกว่าไม่ใช้โซ่
- ล็อคกุญแจหรือโซ่ให้แน่นมีโอกาสหายน้อยกว่าล็อคหลวมๆ (ยิ่งหลวมยิ่งตัดหรือทุบได้ง่ายขึ้น) ...
- การทำระบบป้องกันขโมยแบบทำเอง เสริมเข้าไปอีกช่วยได้มาก แต่ควรใช้ร่วมกับระบบล็อคทั่วไปด้วยเสมอ เช่น จากล็อค 2 ระบบเพิ่มเป็น 3-4 ระบบ
- ถ้าซื้อรถใหม่ (ไม่ว่าจะมือ 1 หรือ 2)... ต้องเปลี่ยนระบบกันขโมยใหม่เสมอ ระบบกันขโมยที่ติดตั้งก่อนซื้อรถอาจถูกทำสำเนากุญแจไว้แล้ว

(2) ปกปิดมันไว้  Cover it
- ก่อนให้ใครเข้ามาใกล้บ้าน หรือเข้ามาในบ้านต้องปกปิดทรัพย์สินมีค่าเสมอ
- ระวังพวกที่ชอบสอดรู้สอดเห็น เช่น พนักงานติดตั้งเครื่องไฟฟ้า หรือคนงานสำนักงานที่ชอบถามเรื่องซอกแซกในบ้าน ฯลฯ มักจะเป็นสายให้โจร หรือเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ ...
- อย่าทำตัวรวย เช่น ใส่ทอง ทำตัวหรู ฯลฯ หรือจอดรถไว้ให้คนที่ผ่านหน้าบ้านเห็นได้ง่าย... ควรหาผ้าคลุมแบบราคาไม่แพงมาคลุมไว้(ถ้าทำได้) โดยเลือกผ้าคลุมแบบราคาไม่แพง ยิ่งแพงยิ่งเสี่ยง ...
- ไม่ควรวางสิ่งของมีค่าไว้ในรถยนต์ หากจำเป็นควรเก็บซุกซ่อนให้มิดชิด ไม่ควรวางไว้ที่เบาะนั่ง เพราะจะเป็นการล่อให้คนร้ายกระทำความผิด

(3) พิจารณาติดตั้งเครื่องกันขโมยแบบส่งเสียงดัง Consider an alarm
- เครื่องกันขโมยแบบนี้จะใช้ได้ดีต้องมีเสียงแปลกๆ ไม่เหมือนแตรค้าง
- ระบบเตือนภัยขโมยผ่านโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้เรื่องนี้จะยังไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน(อาจเป็นเพราะราคาแพง) ... แต่ในอนาคต จะมีการเชื่อมโยงระบบดังกล่าวกับแผนที่ดาวเทียม GPS เพื่อระบุพิกัดให้ตำรวจติดตามได้ทันที ...

(4) อย่าโชว์ความรวยหรู Don't be a show-off
- จอดรถไว้ในบ้าน ปิดประตูรั้ว และล็อครั้วบ้านเป็นประจำ... อย่าจอดรถโชว์ไว้หน้าบ้าน
- อาจารย์ท่านกล่าวไว้ดี คือ "It's simple: The more your bike is out of sight, the more it's out of a thief's mind." = "หลักการง่ายๆ คือ อะไรที่อยู่นอกสายตา(รถ) ก็จะอยู่นอกหัวใจขโมย" ...

(5) เสริมรั้วให้แข็งแรง Reinforce your garage
- ควรใช้รั้วที่แข็งแรง ติดสัญญาณกันขโมยรั้วไว้ด้วย (ที่รถก็ติด... ที่รั้วก็ติด)
- ถ้าใช้รถมอเตอร์ไซค์... ให้ทำห่วงยึดติดไว้กับพื้น แล้วล่ามโซ่หนักๆ ยึดรถติดไว้กับพื้นด้วย ล็อคกุญแจหลายๆ ระบบด้วย ...
- ควรติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด หรือระบบความปลอดภัยทั้งในตัวบ้านและโรงรถ(ถ้าเป็นไปได้) และติดตั้งเครื่องกีดขวาง เช่น ถังที่เวลาเลื่อนจะเกิดเสียงดัง ฯลฯ ขวางไว้อีกชั้นหนึ่ง ...

(6) ทำให้รถใช้การไม่ได้(ชั่วคราว) Disable your bike or car
- คนที่ชำนาญเรื่องช่างอาจถอดอุปกรณ์รถง่ายๆ เช่น ถอดฟิวส์ (fuse) รถออก ทำสัญญาณตัดไฟ (ชนิดทำเองมีแนวโน้มจะได้ผลดี โดยเฉพาะถ้าคิดแบบที่โจรทั่วไปไม่รู้จักได้) ฯลฯ เก็บไว้กับตัวก่อนจอดรถทิ้งไว้
- โจรและขโมยส่วนใหญ่ก็คล้ายกับนักลงทุนทั่วไป คือ มักจะชอบอะไรที่ "ง่ายๆ" มากกว่า "ยากๆ" และจะเลือกรถที่ขโมยได้ง่ายกว่าในเวลาเท่าๆ กันเสมอ ...

(7) เลือกที่จอดรถให้รอบคอบ Choose parking spots carefully
- อย่าจอดรถในจุดอับสายตา โจรและขโมยจะทำงานได้ง่ายขึ้น
- เลือกจอดใกล้ๆ จุดที่มีคนอยู่ประจำแทนการจอดไกลๆ หรือฝากรถไว้ถ้าเป็นไปได้ และจอดในที่ที่มีแสงไฟสว่างพอ
- ถ้ามีรถคันอื่นขับตาม... ควรพิจารณาเปลี่ยนแผนการเดินทาง และรีบไปยังที่ที่ปลอดภัยทันที
- ถ้าฝาที่เติมน้ำมันชนิดที่ต้องใช้กุญแจไขหาย... ให้คิดไว้ก่อนเลยว่า ถูกปั๊มกุญแจไปแล้ว...

(8.) ระวังพวกขอลองรถ Be wary of test rides
- เราซื้อหรือผ่อนรถมาใช้ ไม่ใช่ให้คนอื่นลองขับ เพราะฉะนั้นอย่าให้ใครมาขอลองขับรถของเรา
- ถ้าขอดูรถซื้อขาย, หรือ นัดพบในที่เปลี่ยว ให้ระวัง
- ควรฝึกล้างรถด้วยตนเอง... การให้พนักงานล้างรถ "ลองขับ" รถตอนนำรถไปทำความสะอาดเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรลอง เพราะอาจถูกก๊อปปี้กุญแจ ทำสำเนาสัญญาณกันขโมย และขโมยรถในเวลาต่อมาได้
- ถ้าจำเป็นต้องใช้บริการล้างรถ หรือศูนย์บริการ... ควรให้กุญแจไปน้อยดอกที่สุด และให้เฉพาะกุญแจรถดอกเดียว อย่าให้กุญแจล็อคระบบอื่นๆ และอย่าให้กุญแจบ้าน เพราะจะเสี่ยงของในบ้านหาย ...
- เมื่อนำรถไปซ่อม ควรเฝ้าดู และรอรับรถกลับ หากต้องฝากรถไว้ ให้เลือกอู่ที่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไว้ใจได้

(9) ทำร่องรอยไว้ Mark your territory
- ขโมยรถอาจนำรถไปขายทั้งคัน หรือถอดขายเป็นชิ้นๆ... การจดหมายเลขเครื่อง (ถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอลไว้ก่อน) และชิ้นส่วนต่างๆ ไว้
- การติดชื่อหรือเครื่องหมายไว้ซ่อนไว้ในที่พิเศษในรถอาจช่วยให้ตำรวจติดตามรถได้ดีขึ้น ..
- บริษัทผู้ผลิตหรือจำหน่ายรถยนต์ที่พัฒนาระบบกันขโมยได้ดีมีแนวโน้มจะได้รับ ความเชื่อถือมากขึ้นในระยะยาว เช่น ศูนย์บริการรถของตัวแทนจำหน่าย ฯลฯ ควรมีระบบตรวจสอบว่า รถคันนี้ขโมยมาหรือไม่เสมอ ฯลฯ

(10) ลดความเสี่ยง
- การเลือกรถรุ่นที่ "ดีอันดับสอง" จะช่วยให้ประหยัด มีเงินเหลือไว้เติมน้ำมัน หรือทำประกันรถหายได้
- การใช้รถยี่ห้อหรือรุ่นที่โจรชอบน้อยลงเป็นทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยป้องกัน รถหายได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งติดตามสอบถามได้จากเว็บไซต์ของตำรวจไทย  ...
- นอกจากนั้นการที่เพื่อนบ้านจะช่วยกันเป็นหูเป็นตา ช่วยกันเฝ้าบ้าน หรือรวมกลุ่มกันจ้างทีมงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ไว้ช่วยอีกแรงหนึ่งก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มากเช่นกัน ...

(11) การขายดาวน์รถ
- ดาวน์รถมาเพื่อขับขี่เท่านั้น ไม่นำไปให้ผู้อื่นเช่า  หรือขายดาวน์ โดยทำสัญญาโอนลอย วิธีขายดาวน์ที่ถูกต้อง ต้องพากันไปเปลี่ยนสัญญาซื้อขายที่ไฟแนนท์เท่านั้น
- ระมัดระวังแก๊งหลอกซื้อดาวน์ จะปลอมแปลงเอกสารบัตรประชาชน และว่าจ้างให้บุคคลอื่นมาขอซื้อดาวน์แทน  แล้วเชิดนำรถหนีไป

(12) เมื่อรถหายทำอย่างไร
- แจ้งผ่านทางสายด่วน 1599  หรือ ทางเวปไซต์ www.lostcar.go.th  ซึ่งเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลรถหาย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามรถที่ถูกโจรกรรมหรือ สามารถตรวจสอบรถว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาหรือไม่
- แจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจท้องที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด

(13) ทำประกันภัยภาคสมัครใจ
- ทำประกันภัยรถหายไว้ หากรถหายก็ยังมีค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยมาช่วยบรรเทาความเสียหาย (เค้าทำกันทั่วโลกแล้ว เหลือบ้านเรานี่แหละไม่ค่อยทำกัน)
- ไม่ควรยินยอมให้เด็กหรือเยาวชน ที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์/รถจักรยานยนต์ หรือยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ นำรถไปใช้ 

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

เล็กๆน้อยๆ...การใช้รถป้ายแดง


รัน-อิน กับการใช้รถใหม่ บางท่านคิดว่ารถป้ายแดงไม่จำเป็นต้อง รัน-อิน เพราะทางโรงงานได้ รัน-อินเครื่องยนต์มาแล้ว ซึ่งก็ถูก แต่สำหรับส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น เกียร์ เฟืองท้าย เบรค ช่วงล่าง ฯลฯ ถึงแม้จะมีมาตรฐานการผลิตกำหนดไว้ แต่การทำงานร่วมกัน ย่อมมีอาการ คับ ฝืด ตึง เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งสังเกตได้ตอนที่เราถอยรถป้ายแดง ออกมาขับ ความจริงขบวนการ รัน-อิน ก็ไม่มีอะไรมากขอให้ดูแลเอาใจใส่สละเวลาให้กับรถ ซักประมาณ 2,000 - 3,000 กิโลเมตรแรกให้ดี ๆ ก็พอ เรามาดูกันว่าจะดูแลอะไรบ้าง

1. เครื่องยนต์


     -  ไม่ควรเติมหัวเชื้อใดๆลงในเครื่องยนต์เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเครื่อง ยนต์เลย สู้คุณเก็บเงินไว้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆ ดีกว่า

     - การติดเครื่องยนต์ครั้งแรกอย่าเหยียบคันเร่งหลังจากเครื่องยนต์ติดแล้วทันที ใจเย็นซักนิด รอให้น้ำมันหล่อลื่นวิ่งพ่านในเครื่องยนต์เสียก่อนและไม่ควรเปิด แอร์ทันที รอให้เครื่องยนต์อยู่ ในอุณหภูมิทำงานก่อน (ถ้าจอดรถไว้กลางแจ้งก็เปิดกระจกระบายความร้อน ก่อนก็ได้ เดี๋ยวจะเป็นลมไปซะก่อน)

     - ถึงแม้รถของคุณจะมีแรงม้ามากมายก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียกออกใช้งานในตอนนี้

     - เมื่อคุณต้องวิ่งทางไกล พยายามหลีกเลี่ยงการใช้รอบเครื่องยนต์ที่คงที่เกิน 5 นาทีให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง  ก่อนและไม่ควรใช้รอบเครื่องเกิน 4,000 รอบ/นาที

     - ขยันตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันคลัทช์ น้ำในหม้อน้ำฯลฯ เพราะบางครั้งอาจเกิด ความผิดพลาดจากการประกอบก็เป็นไปได้

     - ก่อนดับเครื่องยนต์ควรให้รอบเครื่องเดินเบาที่สุด โดยการปิดแอร์ และห้ามเร่งเครื่อง เพราะการเร่งเครื่อง จะทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนค้างอยู่ภายในห้องเครื่อง ซึ่งจะเป็นอันตรายกับกระบอกสูบ และแหวน ตอนที่คุณติดเครื่องอีกครั้ง

2. เกียร์และเฟืองท้าย

     - ช่วงการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์เดินหน้าเป็นเกียร์ถอยหลัง ควรรอให้รถหยุดสนิทเสียก่อน แต่สำหรับ ผู้ที่ใช้เกียร์อัตโนมัต ิเวลาเปลี่ยนเกียร์ เดินหน้าเป็นเกียร์ถอยหลัง ควรเหยียบเบรคให้รถหยุดสนิทก่อน แต่จะให้ดีที่สุด ควรรอให้รถหยุดสนิทแล้วซัก 2-3 วินาที จึงค่อยเปลี่ยนเกียร์ ทั้งนี้เพื่อรอให้ราวเกียร์หยุดหมุน อย่างสนิทก่อน

     - ในการขับรถทางไกล ในช่วงประมาณทุก ๆ 2 ชั่วโมงควรมีการหยุดพักรถเสียหน่อย ซัก 5 - 10 นาที เพื่อการระบายความร้อนออกจากห้องเกียร์และเฟืองท้าย ซึ่งเป็นการ คงสภาพให้น้ำมันไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว

     - การปลดเกียร์ว่าง ขณะรถเคลื่อนที่จะเป็นการทำลายระบบเกียร์โดยไม่จำเป็น เพราะ น้ำมันเกียร์จะไม่ถูก สูบฉีดในห้องเกียร์อย่างเต็มที่


3. คลัทช์

     - ไม่ควรเตรียมพร้อมเข้าเกียร์และเหยียบคลัตช์ค้างไว้ ตอนติดไฟแดงอาศัยเบรคมือจะดีกว่า

     - ถ้าไม่มีความจำเป็นไม่ควรใช้คลัทช์แทนเบรคยกเว้นตอนฉุกเฉิน เช่นตอนลงเขา

     - ควรประมาณตนอย่าทำเก่งบรรทุกน้ำหนักเกิน เพราะคุณอาจจะต้องเสียเงินกับการเปลี่ยนคลัทช์ใหม่

4. ระบบพวงมาลัย กันสะเทือน และล้อ
     - ไม่ควรหมุนพวงมาลัยอยู่กับที่โดยไม่จำเป็น ถีงแม้ว่ารถของคุณจะมีพวงมาลัยเพาเวอร์ใช้ เพราะการทำเช่น นั้นจะทำให้ ลูกหมากระบบพวงมาลัย ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น

     - รถใหม่ป้ายแดง หรือรถเก่า ถ้าเจอหลุมหรือลูกระนาดอย่าใจร้อนควรชะลอความเร็วลงสักนิด

     - เวลาจอดรถอย่าหักล้อจนสุดด้านใดด้านหนึ่ง และควรหลีกเลี่ยงการจอดรถในพื้นที่ตะแคง

     - ควรตรวจสอบลมยางอย่างสม่ำเสมอให้อยู่ในพิกัด เพราะลมยางอ่อนจะเป็นการทำร้ายยาง ระบบช่วงล่าง ระบบพวงมาลัยได้มากทีเดียว


5. อื่น ๆ
     - รถยนต์สมัยใหม่ที่มีการใช้ระบบอิเลคทรอนิคส์ ถ้าคุณต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมควรปรึกษากับเจ้าหน้า ที่ประจำศูนย์ที่ขายรถให้คุณสักนิด ไม่เช่นนั้นคุณอาจขับรถป้ายแดงไปจอด เสียอยู่ข้างถนน

ขอบคุณ newchaiyotour.com

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำมันแพง ...ต้องฉลาดเติม




1.จงเติมน้ำมันตอนเช้าขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่
 
  อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน
เมื่อพื้นดินยิ่งเย็น
 
  น้ำมันยิ่งควบแน่น
เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น
น้ำมันก็จะขยายตัวตาม
 
  ดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น

คุณจ่ายค่าน้ำมัน 1 แกลลอน

แต่ได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

ธุรกิจค้าน้ำมัน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันสำหรับเครื่องบิน

  เอทานอล หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ

อุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะ

  มีบทบาทสำคัญ
อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศา
หมายถึง.........เงินมหาศาลในธุรกิจนี้
แต่ปั๊มน้ำมันไม่มีการชดเชยอุณหภูมิให้ลูกค้า



2.   ขณะเติมน้ำมัน
อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว

( ในอเมริกาเจ้าของรถต้องลงมือเติมเอง)


   หากคุณสังเกต จะเห็นว่ากลไกเหนี่ยวมี
3 ระดับ คือ  low, middle, และ high
  เมื่อตั้งในระดับไหลช้า
จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุด

หากตั้งในระดับไหลเร็ว
น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหย

และถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใ้ต้ดิน
นั่นหมายถึงคุณจ่ายเงินมากกว่าที่ควร


3.เคล็ดลับอีกอย่างคือ
ควรเติมน้ำมันเมื่อน้ำมันในรถเหลือครึ่งถัง

( แหล่งข้อมูลบางแห่งแนะนำว่า เติมน้ำมันแค่ครึ่งถังก็พอ
    จะได้ลดน้ำหนักบรรทุกและประหยัดน้ำมัน
ทั้งนี้และทั้งนั้น
    ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองก็แล้วกัน ― หมายเหตุผู้แปล)
 

เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อย
    เพราะน้ำมันระเหยเป็นไอเร็วกว่าที่คุณคาดคิด
    ในคลังเก็บน้ำมันจะมีอุปกรณ์ภายในถัง ทำหน้าที่เป็นเพดาน
    ลอยขึ้นลงตามระดับน้ำมัน
ทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างน้ำมันกับอากาศ
    ลดไอระเหยของน้ำมันให้น้อยที่สุด
รถขนส่งน้ำมันเมื่อมาบรรทุกน้ำมัน
    จึงเติมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ผิดกับที่ปั๊มน้ำมันซึ่งไม่มีการชดเชยอุณหภูมิ


4.ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่ง
 
ขณะที่คุณขับรถเข้าปั๊มถ้าเห็นรถบรรทุกกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดิน
    จงอย่ารีบร้อนเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น
เพราะตอน
"ลงของ" สิ่งแปลกปลอม
ซึ่งปกติตกตะกอนอยู่ใต้ถัง จะถูกปั่นป่วนจนลอยตัว

    หากคุณเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น
อาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถคุณได้

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ทิศมงคลออกรถ

การถอยรถออกจากอู่ครั้งแรก เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะจะมีผลต่อการใช้งานรถคันดังกล่าวตลอดไปจนกว่ารถคันดังกล่าวจะหมดสภาพ หรือถูกเปลี่ยนมือ ดังนั้นเพื่อการใช้รถคันที่ว่านี้เป็นไปได้อย่างราบรื่นและโชคดี ไม่ต้องกังวลกับอุบัติเหตุหรือปัญหาจุกจิกต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ท่านต้องออกรถไปทิศที่ถูกโฉลกกับท่าน ซึ่งจะทำให้การใช้รถของท่านเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาและอุปสรรคมารบกวนให้เสียเวลาและเสียทรัพย์สิน

หลักการพิจารณาหาทิศทางที่เป็นมงคลในการออกรถจากอู่ หรือเต๊นท์ ครั้งแรก ได้ 2 วิธี คือ

1. ตามหลักโหราศาสตร์
ในตำราโหราศาสตร์ไทย ได้กำหนดทิศที่เป็นมงคล สำหรับการออกรถในแต่ละวันดังนี้
วันอาทิตย์ ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
วันจันทร์ ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศตะวันตก
วันอังคาร ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
วันพุธ ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศใต้
วันพฤหัสบดี ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศเหนือ
วันศุกร์ ออกครั้งแรกให้ไปทางทิศตะวันออก
วันเสาร์ ไม่แนะนำให้เอารถออก นอกจากจำเป็นจริง ๆ ให้ออกทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

2. โดยวิธีคำนวณ
วิธีคำนวณหาทิศ มีดังนี้
เจ้าของรถอายุเท่าไหร่(พ.ศ. ปัจจุบัน - พ.ศ. เกิด)
ผลลัพธ์ คือเลขอายุ นำมาเป็นตัวตั้ง
เอาเลข 28 บวก ตัวตั้ง
ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ ให้เอา 8 หาร
ไม่ว่าจะหารลงตัว (เศษ 0) หรือ เศษเท่าไหร่ ให้นำเศษนั้นมาเทียบหาทิศ สำหรับการถอยรถออกจากอู่ครั้งแรก
เศษ 1 ให้ออกรถไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
เศษ 2 ให้ออกรถไปทางทิศตะวันออก
เศษ 3 ให้ออกรถไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
เศษ 4 ให้ออกรถไปทางทิศใต้
เศษ 5 ให้ออกรถไปทางทิศตะวันตก
เศษ 6 ให้ออกรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เศษ 7 ให้ออกรถไปทางทิศเหนือ
เศษ 0 (หารลงตัว)ให้ออกรถไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ตัวอย่าง
การคำนวณหาทิศออกรถ สมมุติว่านายแดง เจ้าของรถเกิด ปี พ.ศ.2547 เขาซื้อรถใหม่เมื่อต้นปี พ.ศ.2544 เข้าต้องถอยรถออกจากอู่ไป ทิศไหน ถึงจะเป็นศิริมงคล
1. พ.ศ.ปัจจุบัน - พ.ศ.เกิด = 2544-2497 = 47 ปี
2. เลขอายุ = 47
3. เอา 28 บวก = 47 + 28 = 75
4. เอา 8 หาร 75/8 = 9 เศษ 3
5. เหลือเศษ 3
สรุป ทิศที่จะนำรถออก ซึ่งนายแดง เจ้าของรถอายุ 47 ปี คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง