คนที่คิดว่าไว้ใจได้ บางครั้งยังมีการแทงข้างหลังทะลุถึงสะดือกันได้เลย แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าแผนได้เอท 7 ข้อนี้
1. ไม่ดื่มน้ำ น้ำหนักไม่ขึ้น
ไม่รู้ใครไปป้อนโปรแกรมเข้าสมองสาวๆ นักไดเอท ว่าน้ำหนักตัวส่วนหนึ่งมาจากน้ำ ถ้าไม่ดื่มน้ำน้ำหนักก็จะไม่เพิ่ม ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วถ้าขาดน้ำร่างกายเราจะหิวจนเบลอ คลื่นไส้ อารมณ์เสีย มีความยับยั้งชั่งใจต่ำ พอเห็นของกินเลยโซ้ยลืมโลก คนที่มองข้ามความสำคัญของน้ำเปล่าแก้วโตๆ วันละ 8 แก้วจึงอ้วนว่ายมาก วิธีที่ดีที่สุดคือดื่มทันทีที่ดื่นนอน 1 แก้ว ดื่มอีกหนึ่งแก้วระหว่างมื้ออาหาร จับไปเรื่อยๆ ระหว่างทำงาน และดื่มอีกหนึ่งแก้วเต็มๆ ก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง
2. ดื่มน้ำผลไม้
เอาเข้าจริงน้ำผลไม้ที่ขายกันไปทุกวันนี้ไม่มีไฟเบอร์เหลืออยู่เลย แต่มีน้ำตาลเพียงทั้งจากตัวผลไม้เอง และจากน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ่งจากที่แม่ค้าเขาใส่ลงไปแต่งรสให้อร่อยเหาะถูกใจ คนกิน(แถมบางร้านยังไม่ยอมล้างผลไม้ก่อนไปคั้นน้ำอีกต่างหาก) ดื่มน้ำผลไม้แก้วหนึ่งจึงเท่ากับเพิ่มความอ้วนให้ตัวเองอีกหลายขีด นอกจากนี้เวลาที่เราน้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงๆเข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดจะพุ่งขึ้นทันที ทำให้คุณอิ่มเร็ว แต่ไม่นานพอร่างกายใช้น้ำตาลในเลือดหมดแลส ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราหิวจนตาลาย ทีนี้ข้าวจานเดียวก็เอาไม่อยู่ ความอ้วนเลยเพิ่มคูณสองคูณสาม กลายเป็นอวนระยะสุดท้ายไปเลย
3. ไว้ใจทุกอย่างที่เป็นปลา
ปลาอาจจะมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยสลายไขมันสะสม แต่ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับสาวๆ ที่กำลังไดเอท เพราะอาหารที่อาหารที่ทำจากปลามักจะหนีไม่พ้นการทอดหรืออบเนย ถ้าเป็นเบอร์เกอร์ปลาก็ใส่มายองเนสจนซุ่มก่อนจะทานปลาจึงต้องไม่ลืมดีด ลูกคิดหาปริมาณแคลอรีด้วย เพราะปลาบางจานอาจจะแคลอรีสูงกว่าได่ย่างรสแวบของโปรดคุณด้วยซ้ำไป
4. อาหารไขมันต่ำคือเพื่อนแท้
อาหารไขมันต่ำส่วนใหญ่รสชาติจะจืดมากถึงมากที่สุด ผู้ผลิตเขาก็เลยต้องอุดรูรั่วด้วยการกระหน่ำเติมน้ำตาลลงไป ทำให้คนกินอย่างเราได้รับแคลอรี่ที่ไม่ต้องการเพิ่มมาอีกเพียบ ถ้าคิดจะฝากความหวังไว้กับอาหารไขมันต่ำ สาวแซบจึงต้องอ่านฉลากทุกครั้ง เพื่อเช็คปริมาณน้ำตาลและแคลลอรีด้วย
5. ไว้ใจอาหารจานพัก.
คำว่าพักอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้อาหารจากนั้นเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ เพราะอาหารพักๆส่วนใหญ่จะมาพร้อมน้ำมันท่วมจาน อย่างผัดพัก สลัดผัดน้ำมัน กินแล้วความอ้วนก็ยังลั้นลาได้เหมือนเดิมถ้าอยากทานพัก คุณจึงควรเข้าครัวปรุงเอง หรือไม่ก็กำชับพ่อครัวร้านอาหารตามสั่งให้ใส่น้ำมันให้น้อยที่สุดเท่าที่จะ น้อยได้ ส่วนสลัดน้ำเข้มข้นแคลอรีเพียวนั้ง ขอสาวแซบจงลืมมันไปจากโกลเลยจะดีมากๆ
6. เป้าหมายสุดขอบฟ้า
ก่อนจะตั้งเป้าลดน้ำหนัก สาวแซบควรจะมองโลกในความเป้นจริงก่อนว่าคุณทนทำโปรแกรมลดความอ้วนแบบหฤโหด ได้หรือเปล่า บางคนตั้งเป้าว่าจะลดน้ำหนักอาทิตย์ 2 กิโล ซึ่งอาจจะทำได้ในอาทิตยืแรก แต่อาทิตย์ที่สอบนอกจากจะไม่ไหวแล้วนางยังกลับมากินหนักกว่าเดิม เรื่องอ้วนกว่าเก่าจึงไม่ต้องพูดถึงอิชั้นคอมเฟริ์มว่าล้านเปอร์เซ็นต์
7. บอกลาของหวาน
ถึงของหวานจะทำให้อ้วน แต่การงดกินของหวานไปเลยก็ยังไม่ใช่ชีวิตไดเอทที่ถูกอยู่ดี เพราะมันจะทำให้ทั้งร่างกายและหัวใจของคุณเรียกร้องหาแต่เค้ก ไอติม น้ำอัดลมตลอดเวลา เมื่อไรที่คุณได้หยิบขนมหวานๆเข้าปากแค่ชั้นเดียว คุณจะลืมสิ้นทุกอย่างคนที่คิดจะตัดญาติขาดมิตรกับของหวานจึงต้องแน่ใจก่อน ว่าจะไม่กินได้จริงๆ แต่ถ้ายังทำไม่ได้ขนาดนั้น กูรูเขาบอก ให้กินขนมหวานชิ้นเล็กๆ วันละชิ้น ร่างกายจะได้ไม่โหยหาน้ำตาลมากเกินไป
ที่มา : นิตยสาร Spicy
วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิธีดูแลหน้าใสไร้สิว
1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้ใบหน้าสวยไร้สิวก็คือ เธอต้องรู้จักวิธีล้างหน้าให้ถูกวิธีก่อน วิธีก็ง่ายๆ ไม่ยากเลย
(1) ในตอนเย็น ฌะอต้องทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางก่อน เพราะในตอนเช้าเอได้ทาครีมกันแดด ซึ่งครีมพวกนี้ล้างไม่ออกหมดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหนได้ ให้เธอและคลีนซึ่งลงบนใบหน้าเป็นจุดๆ แล้วใช้ปลายนิ้วถูวนบนใบหน้าแบบทวนเข็มนาฬิกา จากนั้นใช้สำลีแบบแผ่นเช็ดออกอย่างแผ่วเบา
(2) ล้างหน้าสะอาดด้วยสบู่หรือสบู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะไม่แนะนำให้ใช้แบบส คับ เพราะจะทำให้สิวผลได้ และห้ามล้างเกิน 2 รอบ เวลาล้างสบู่ให้ถูเบาๆ ไม่ต้องออกแรงเยอะ
(3) น้ำที่ใช้ล้างหน้าควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง
(4) ล้างหน้าเสร็จ ให้ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ เน้นว่าเบาๆ
(5) สุดท้ายเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วยมอยส์เจอไรเชอร์ เลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเธอด้วย
2. พกกระดาษซับมัน
สำหรับคนที่มีผิวมัน เธออย่าล้างหน้าบ่อยมาก เพราะหลังล้างหน้าใบหน้าจะแห้ง ทำให้ผิวเร่งการผลิตไขมันมากขึ้นไปอีกทางที่ดีให้ใช้กระดาษซับมัน ซับออกอย่างเบาๆจะช่วยลดความมันได้ดี โดยไม่ต้องคอบล้างหน้าบ่อยๆ
3. ดื่มน้ำมากๆ
น้ำเปล่าสะอาดจะช่วยเพิ่มความชุ่มซื้นให้แก่ผิว ลดการผลิตน้ำมันสาเหตุของสิวได้อย่าดีเยื่ยม แถมยังช่วยซะล้างของเสียอีกตั้งหาก
4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายก็ช่วยลดสิวได้เหมือนกัน เพราะการออกำลังกายจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายแต่ที่สำคัญ หลังออกำลังกาย ต้องอาบน้ำ ล้างหน้าให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้น เหงื่อไคลจองเราอาจจะเป็นสาเหตุให้สิวพอกพูนได้
5. งดอาหารมันๆ
อาหารมันๆ ประเภทอาหารทอดๆ ผัดๆ หรือไขมันสัตว์ทั้งหลายมีแต่จะเพิ่มพูนความมันในร่างกายของเราและก็เป็น แหล่งสะสมของสิว เธอก็ควรงดอาหารจำพวกนี้ซะ แล้วเน้นกินผัก ผลไม้ จะช่วยให้ผิวใสแถมไร้สิวอีกต่างหากนะ
6. ทำความสะอาดเตียงที่นอน
เตียงนอน ปลอกหมอนที่เราต้องเอาหน้าไปสัมผัสทุกวัน อาจจะเป็นสาเหตุของสิวอย่างที่คาดไม่ถึง ดังนั้นให้ถอดออกมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ แล้วผ้าห่มด้วย
7. ไม่ใช้แชมพูที่แรงเกินไป
นอกจากการเลือกครีมบำรุงผิวหน้า และโฟมล้างหน้าที่เหมาะแล้ว แชมพูก็สำคัญและห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะเวลาเราล้างแชมพูก็จะไหลผ่านหน้าเรา ดังนั้นให้เลือกแชมพูที่ไม่แรงมากมันจะได้ไม่ส่งผลอันตรายต่อผิวหน้าเรานะ
8. เลี่ยงการทำอะไรกับผิวมากเกินไป
ถ้าอยากมีผิวใส ตอนนี้ต้องเลี่ยงไปก่อน ต้องรักษาสิวให้หายสนิทเสียก่อนเริ่มบำรุงผิว งดเว้นการสครับผิว หรือทาครีมสารพัดโหมกระหน่ำ ส่วนการทำผิวให้บิ๊งใส รอจนกว่าสิวหมดก่อนแล้วค่อยลุยขั้นต่อที่สอง
ที่มา : นิตยสาร I-Like
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้ใบหน้าสวยไร้สิวก็คือ เธอต้องรู้จักวิธีล้างหน้าให้ถูกวิธีก่อน วิธีก็ง่ายๆ ไม่ยากเลย
(1) ในตอนเย็น ฌะอต้องทำความสะอาดใบหน้าด้วยคลีนซิ่งล้างเครื่องสำอางก่อน เพราะในตอนเช้าเอได้ทาครีมกันแดด ซึ่งครีมพวกนี้ล้างไม่ออกหมดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหนได้ ให้เธอและคลีนซึ่งลงบนใบหน้าเป็นจุดๆ แล้วใช้ปลายนิ้วถูวนบนใบหน้าแบบทวนเข็มนาฬิกา จากนั้นใช้สำลีแบบแผ่นเช็ดออกอย่างแผ่วเบา
(2) ล้างหน้าสะอาดด้วยสบู่หรือสบู่สำหรับล้างหน้าโดยเฉพาะไม่แนะนำให้ใช้แบบส คับ เพราะจะทำให้สิวผลได้ และห้ามล้างเกิน 2 รอบ เวลาล้างสบู่ให้ถูเบาๆ ไม่ต้องออกแรงเยอะ
(3) น้ำที่ใช้ล้างหน้าควรเป็นน้ำอุณหภูมิห้อง
(4) ล้างหน้าเสร็จ ให้ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ เน้นว่าเบาๆ
(5) สุดท้ายเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วยมอยส์เจอไรเชอร์ เลือกที่เหมาะสมกับสภาพผิวของเธอด้วย
2. พกกระดาษซับมัน
สำหรับคนที่มีผิวมัน เธออย่าล้างหน้าบ่อยมาก เพราะหลังล้างหน้าใบหน้าจะแห้ง ทำให้ผิวเร่งการผลิตไขมันมากขึ้นไปอีกทางที่ดีให้ใช้กระดาษซับมัน ซับออกอย่างเบาๆจะช่วยลดความมันได้ดี โดยไม่ต้องคอบล้างหน้าบ่อยๆ
3. ดื่มน้ำมากๆ
น้ำเปล่าสะอาดจะช่วยเพิ่มความชุ่มซื้นให้แก่ผิว ลดการผลิตน้ำมันสาเหตุของสิวได้อย่าดีเยื่ยม แถมยังช่วยซะล้างของเสียอีกตั้งหาก
4. ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายก็ช่วยลดสิวได้เหมือนกัน เพราะการออกำลังกายจะช่วยปรับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายแต่ที่สำคัญ หลังออกำลังกาย ต้องอาบน้ำ ล้างหน้าให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้น เหงื่อไคลจองเราอาจจะเป็นสาเหตุให้สิวพอกพูนได้
5. งดอาหารมันๆ
อาหารมันๆ ประเภทอาหารทอดๆ ผัดๆ หรือไขมันสัตว์ทั้งหลายมีแต่จะเพิ่มพูนความมันในร่างกายของเราและก็เป็น แหล่งสะสมของสิว เธอก็ควรงดอาหารจำพวกนี้ซะ แล้วเน้นกินผัก ผลไม้ จะช่วยให้ผิวใสแถมไร้สิวอีกต่างหากนะ
6. ทำความสะอาดเตียงที่นอน
เตียงนอน ปลอกหมอนที่เราต้องเอาหน้าไปสัมผัสทุกวัน อาจจะเป็นสาเหตุของสิวอย่างที่คาดไม่ถึง ดังนั้นให้ถอดออกมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ แล้วผ้าห่มด้วย
7. ไม่ใช้แชมพูที่แรงเกินไป
นอกจากการเลือกครีมบำรุงผิวหน้า และโฟมล้างหน้าที่เหมาะแล้ว แชมพูก็สำคัญและห้ามมองข้ามเด็ดขาด เพราะเวลาเราล้างแชมพูก็จะไหลผ่านหน้าเรา ดังนั้นให้เลือกแชมพูที่ไม่แรงมากมันจะได้ไม่ส่งผลอันตรายต่อผิวหน้าเรานะ
8. เลี่ยงการทำอะไรกับผิวมากเกินไป
ถ้าอยากมีผิวใส ตอนนี้ต้องเลี่ยงไปก่อน ต้องรักษาสิวให้หายสนิทเสียก่อนเริ่มบำรุงผิว งดเว้นการสครับผิว หรือทาครีมสารพัดโหมกระหน่ำ ส่วนการทำผิวให้บิ๊งใส รอจนกว่าสิวหมดก่อนแล้วค่อยลุยขั้นต่อที่สอง
ที่มา : นิตยสาร I-Like
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิธีถนอมเส้นผมขณะว่ายน้ำ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการว่ายน้ำคงจะหลีกเลี้ยงผมเสียแห้งแตกปลายไมไ่ด้ เพราะน้ำในสระเต็มไปด้วยคอลรีนทำลายเส้นผม แต่ถ้าคุณชอบว่ายน้ำ แต่กลัวว่าผมจะเสีย ลองใช้เคล็ดลับของเราต่อไปนี้เพื่อปกป้องเส้นผม ให้คุณได้ว่ายน้ำอย่างสบายใจครับ
1.ล้างเส้นผมด้วยน้ำก๊อกเสียก่อนที่จะตื่นเต้นกระโจนลงทะเลหรือสระว่าย น้ำ เพราะเส้นผมเปียกๆ จะดูดซับคลอรีนและเกลือได้น้อยกว่าตอนที่ยังแห้งๆอยู่
2.อย่าใช้แชมพูสระผมก่อนลงไปว่ายน้านั้นควรแค่ล้างน้ำเท่านั้น เพราะก่อนสระผมเ้นผมของเราจะมีน้ำมันตามธรรมชาติถ้าล้างด้วยแชมพูอาจทำให้ เส้นผมสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติและสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่ช่วยทำหน้าที่เป้นตัวขวางกั้นระหว่างเส้นผมกับสารเคมีอื่นๆ
3.ใช้คอนดิชันเนอร์แบบไม่ต้องล้างออกชะโลมเส้นผมให้ทั่วก่อนลงน้ำ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายได้ รวมทั้งช่วยลดเส้นผมพันกันและป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้งด้วย
ก่อนลงเล่นน้ำคราวหน้าอย่าลืมนำเคล็ดลับไปใช้กันดูนะครับ
1.ล้างเส้นผมด้วยน้ำก๊อกเสียก่อนที่จะตื่นเต้นกระโจนลงทะเลหรือสระว่าย น้ำ เพราะเส้นผมเปียกๆ จะดูดซับคลอรีนและเกลือได้น้อยกว่าตอนที่ยังแห้งๆอยู่
2.อย่าใช้แชมพูสระผมก่อนลงไปว่ายน้านั้นควรแค่ล้างน้ำเท่านั้น เพราะก่อนสระผมเ้นผมของเราจะมีน้ำมันตามธรรมชาติถ้าล้างด้วยแชมพูอาจทำให้ เส้นผมสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติและสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่ช่วยทำหน้าที่เป้นตัวขวางกั้นระหว่างเส้นผมกับสารเคมีอื่นๆ
3.ใช้คอนดิชันเนอร์แบบไม่ต้องล้างออกชะโลมเส้นผมให้ทั่วก่อนลงน้ำ ซึ่งจะช่วยป้องกันความเสียหายได้ รวมทั้งช่วยลดเส้นผมพันกันและป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้งด้วย
ก่อนลงเล่นน้ำคราวหน้าอย่าลืมนำเคล็ดลับไปใช้กันดูนะครับ
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553
กูเกิ้ลเตือน”แอนตี้ไวรัส” (antivirus) ปลอมระบาดหนัก
สาระน่ารู้ : รายงานข่าวล่าสุด ผลจากการศึกษาของกูเกิ้ล (Google) พบว่า ซอฟต์แวร์แอนตี้ (antivirus) ไวรัสปลอมที่ ติดตั้งตัวเองเข้าไปในพีซีพร้อมกับโค้ดอันตราย กำลังเป็นภัยคุกคามอย่างหนัก โดยผลจากการวิเคราะห์หน้าเว็บ 240 ล้านเพจตลอดช่วงระยะ 13 เดือนที่ผ่านมาพบว่า มีโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมมากถึง 15% เลยทีเดียว
Graham Cluley ผู้เชี่ยวชาญจากโซฟอส (Sophos) ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า วิธีที่แฮคเกอร์ใช้ในการแพร่กระจายซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส (antivirus) เรียก ว่า เทคนิคการออปติไมซ์เสิร์ชเอ็นจิ้นในรูปแบบกลโกงชนิดหนึ่ง เพื่อให้มันปรากฎในรายการผลลัพธ์เสิร์ช เช่น การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่อยู่ในกระแสมาสร้างเป็นคอนเท็นต์ในเว็บไซต์ เป็นต้น เมื่อเหยื่อคลิกบนลิงค์เข้าไปในหน้าเว็บ มันก็จะป๊อปอัพลิงค์ของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสปลอมขึ้นมาทันที แม้จะมีกลไกไล่จับภัยคุกคามลักษณะนี้แล้วก็ตาม แต่ก็พบว่า มันมีการเปลี่ยนโดเมนเนมหนีเร็วมาก ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องระวังด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง
แฮคเกอร์ และพวกนักต้มตุ๋นกำลังหลอกล่อให้ผู้ใช้ดาวน์โหลด และติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสปลอมเข้าไปในเครื่อง โดยหลอกเหยื่อว่า พีซีของพวกเขามีไวรัสแพร่กระจายอยู่ในเครื่อง และเมื่อเหยื่อดำเนินการติดตั้งแอนตี้ไวรัสปลอมเข้าไป ซอฟต์แวร์ก็จะขโมยข้อมูล หรือไม่ก็บังคับให้เหยื่อลงทะเบียนจ่ายตังค์ให้กับซอฟต์แวร์ปลอม
“น่าประหลาดใจทีผู้ใช้ส่วนใหญ่ยังคงตกเป็นเหยื่อของการโจมตีในลักษณะนี้ แถมยังยอมลงทะเบียนจ่ายตังค์ให้กับซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสปลอมเสียด้วย ซึ่งนอกจากจะหลอกเอาเงินแล้ว บ่อยครั้งที่พบว่า ซอฟต์แวร์พวก นี้มักจะมาพร้อมกับมัลแวร์ที่คอยป่วนเครื่องตลอดจนโขมยข้อมูล อีกด้วย” รายงานจากผลการศึกษาของกูเกิ้ลยังเปิดเผยอีกว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสปลอมถูกแพร่กระจายผ่านโฆษณาGraham Cluley ผู้เชี่ยวชาญจากโซฟอส (Sophos) ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า วิธีที่แฮคเกอร์ใช้ในการแพร่กระจายซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส (antivirus) เรียก ว่า เทคนิคการออปติไมซ์เสิร์ชเอ็นจิ้นในรูปแบบกลโกงชนิดหนึ่ง เพื่อให้มันปรากฎในรายการผลลัพธ์เสิร์ช เช่น การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่อยู่ในกระแสมาสร้างเป็นคอนเท็นต์ในเว็บไซต์ เป็นต้น เมื่อเหยื่อคลิกบนลิงค์เข้าไปในหน้าเว็บ มันก็จะป๊อปอัพลิงค์ของซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสปลอมขึ้นมาทันที แม้จะมีกลไกไล่จับภัยคุกคามลักษณะนี้แล้วก็ตาม แต่ก็พบว่า มันมีการเปลี่ยนโดเมนเนมหนีเร็วมาก ดังนั้น ผู้ใช้จึงต้องระวังด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ล้างห้องเครื่อง อย่างไร ให้สวยงามและถูกวิธี
ถ้าจะล้างห้องเครื่องยนต์ ให้สะอาดเอี่ยม ปราศจากคราบฝุ่น คราบน้ำมัน สวยงาม เปิดเครื่องโชว์ได้ไม่อายใคร ตรวจเช็คปัญหาพวกเรื่องน้ำมันรั่วซึมได้ง่าย และไม่มีปัญหามีล้างอย่างไร และต้องระวังจุดใดบ้าง
เตรียมอุปกรณ์ การทำความสะอาดล้างห้องเครื่อง
1. น้ำยาล้างเครื่องยนต์ หาซื้อได้ตามเชียงกง หรือร้านอะไหล่ ราคาไม่เกิน 500 บาท/แกลลอน (ส่วนยี่ห้อ ถ้าอยากได้ของดีจริงๆ ให้สังเกตดีๆตามในรูปนะครับ หลังจากที่ใช้มาเกือบทุกยี่ห้อในเชียงกง แต่แล้วก็ต้องกลับมายี่ห้อเดิม ก็คุณภาพมันต่างกันมากเหลือเกินนี่ครับ)
2. น้ำมันผสม เลือกได้ทั้ง 2 แบบ คือน้ำมันเบนซิล 91 ก็พอ หรือจะใช้ 95 ก็ได้(มันแพงเกินไปหน่อย) หรือน้ำมันโซล่าหรือน้ำมันดีเซลนี่หละ แล้วอย่าพึ่งรีบไปผสมแล้วอยากเอี่ยมไปล้างก่อนล่ะ อ่านให้จบก่อนดีกว่า ผสมผิดคิดจนตายได้ อย่างนี้หละที่เขาเรียกว่า เคล็ดลับ
3. แปรงทาสี ขนาดพอเหมาะสัก 1 นิ้ว หรือ 1.5 นิ้ว , ฟองน้ำล้างรถ (ไม่ต้องใช้แพงๆครับ เพราะมันโดนน้ำมันทีเดียวก็อาจเหลวเสียทิ้งได้เลย) หรือสก็อตไบท์ สำหรับท่านที่คิดว่าเครื่องสกปรกมากๆ
4. ถุงพลาสติก เทปพันสายไฟ หรืออะไรก็ได้ที่ใกล้เคียง คงไม่ได้เอามาใส่ขยะแน่ จุดประสงค์ใช้เปิดตามปลั๊กไฟเพื่อกันน้ำ
5. น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy หรือ Carwash หรือไม่มีจริงๆ ก็พวกน้ำยาครอบจักรวาล Sonax , WD40 หรือใช้ควบคู่กันก็ดีครับ
6. เครื่องเป่าลม เครื่องปั้มลมแรงๆ หรือพวกเครื่องดูดฝุ่นที่สามารถเป่าลมได้ ยิ่งแรงๆยิ่งดี ใช้ในการเป่าน้ำให้แห้ง
7. น้ำ คงไม่ต้องอธิบายกันมาก
ขั้นตอนการทำความสะอาด
1. ถอดขั้วแบตเตอร์รี่ก่อน การล้างครั้งนี้เราต้องใช้น้ำ และน้ำคือสื่อไฟฟ้า อาจจะทำให้เกิดการลัดวงจรต่อระบบไฟหัวฉีด กล่องคอมพิวเตอร์พังได้ (พังมาเยอะ) หรือเกิดไฟช็อตลุกติดน้ำมันผสมได้ (กลายเป็นได้ซื้อรถใหม่ทั้งคัน ) และอย่างน้อยก็ป้องกันคนหวังดี แอบไปสตาร์ทเครื่องในขณะคุณที่กำลังล้างเครื่องอยู่
2. หุ้มพลาสติกปลั๊กไฟ และพวกขั้วไฟฟ้าต่างๆ เช่น ปลั๊กจานจ่าย จานจ่าย คอยล์ ตัวช่วยจุดระเบิด ปลั๊กเซนเซอร์ หัวฉีดต่างๆ ที่พอจะหุ้มได้ กล่องฟิวส์ และปลั๊กไฟที่สำคัญทุกๆ จุด
3. ผสมน้ำมันล้าง กับน้ำยา หาภาชนะมาเทน้ำยาล้างเครื่องลงไปก่อน แล้วใช้น้ำมันเทผสมการเลือกใช้น้ำมันผสม
* น้ำมันดีเซล โซล่า ใช้กรณีที่สกปรกน้อย พวกจุดที่มีฝุ่นผงเกาะ น้ำมันเปื้อนเล็กน้อย คอไอดีที่เป็นอะลูมิเนียม หรือพวกจุดต่างๆที่ต้องการความเงางาม และจุดที่เป็นอลูมิเนียมปัดเงา การผสมน้ำมันดีเซลจะทำให้เกิดความเงางามเพิ่มขึ้น อัตตราส่วนไม่ควรเกิน 2:1 (น้ำยา 2 ส่วน : น้ำมันโซล่า 1 ส่วน) ผสมมากเกินไปจะใสล้างไม่ค่อยออก ผสมน้อยไปก็ล้างไม่ค่อยออกเหมือนกัน
* น้ำมันเบนซิล ใช้ในกรณีสกปรกมากๆ จุดที่จะล้างมีคราบน้ำมันเหนียว หรือเป็นคราบแข็งเป็นเวลานานๆ การผสมน้ำมันเบนซิลมีผลในการกัดที่รุนแรงมาก ไม่ควรใช้ทากับพลาสติก จุดที่เป็นสีดำ จุดที่พ่นสีด้วยสีเสปย์ หรือพวกอลูมิเนียมเงา หรือปัดเงา จะทำให้เกิดคราบกัดขาว อัตตาส่วนผสมไม่ควรเกิน 3:1 หรือ 2:1 (น้ำยา 3 ส่วน : น้ำมัน 1 ส่วน) ผสมมากการกัดก็รุนแรงมาก
4. ทาน้ำยาผสมล้างให้ทั่ว ใช้แปรงทาสี จุ่ม และค่อยๆทา ถ้าไม่ออกทาแรงๆ ถ้าไม่ออกก็ฟองน้ำ สก็อตไบท์ บรรเลงลงไปเลยครับ นี่หละเคล็ดลับ แต่การใช้สก็อตไบท์ ต้องระวังหน่อย อย่าขัดพวกสีรถ หรือพวกพลาสติก จะทำให้เกิดรอย ใช้ในจุดที่อยากให้ออกจริงๆ ต้องระวัง
5. ใช้น้ำล้างออก ควรใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ เช็ดน้ำยาและคราบออก ตามจุดที่ควรระวังเช่น ฝาครอบสายหัวเทียน สายหัวเทียน ฝาครอบวาล์ว จานจ่าย ตัวช่วยจุดระเบิด กล่องฟิวส์ และจะสำคัญเกี่ยวกับระบบไฟทุกๆจุด และใช้น้ำค่อยๆเทราดไปในส่วนที่ต้องการล้าง ใช้แปรง และฟองน้ำ ควบคู่กันจนออกหมด
6. เป่าลมไล่น้ำให้แห้ง ใช้เครื่องปั้มลม หรือเครื่องดูดฝุ่น(ต่อให้เป็นแบบเป่าลมได้) หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไดเป่าผมเนี่ยหละครับ ต้องลงทุนกันบ้างแล้ว เป่าไล่น้ำตามจุดต่างๆ ออกให้หมด เน้นๆพวกปลั๊กไฟ จานจ่าย และหัวเทียน พร้อมแกะพลาสติกหุ้มออกให้หมด และเป่าลมจนน้ำแห้งสนิท
7. ใส่ขั้วแบตสตาร์ทเครื่องได้ เป็นการทดสอบว่ามีน้ำเข้าไปตามปลั๊กไฟหรือไม่ ถ้าเครื่องยังเดินสมบูรณ์ไม่มีปัญหาถือว่าไชโยโอเค ถ้าเกิดสตาร์ทไม่ติด หรือเดินไม่นิ่ง ต้องถอดขั้วแบต และเป่าลมไล่น้ำอีกครั้ง เน้นๆจานจ่าย คอยล์ ปลั๊กหัวเทียน และปลั๊กไฟต่างๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ถอดมา แล้วเป่าลมให้แห้ง พ่นน้ำยากันสนิม หรือน้ำยาล้างหน้าคอนแทค ถือเป็นการทำความสะอาดขั้วไฟไปในตัว
8. เคลือบเงา หลังจากสตาร์ทเครื่องอุ่นสักพักจนน้ำแห้งดี รอให้เครื่องเย็นก่อนครับ แล้วใช้น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy มาจุ่มด้วยฟองน้ำ และทาในจุดที่ต้องการให้เงางาม ถือว่าดีที่สุด หรือใช้น้ำมันพวกครอบจักรวาล พ่นเคลือบในจุดที่แห้ง และจะเกิดสนิม ใช้น้ำมันเครื่องกับจารบี ทาหรือหยอดในจุดหมุนต่างๆ เป็นการป้องกันสนิม และหล่อลื่นไปในตัว การใช้น้ำมันเครื่องมาทาให้เงางาม ผลเสียคือฝุ่นจะจับตัวเร็วมาก ถ้าเป็นน้ำมันครอบจักรวาล พวกนี้จะระเหยตัวเร็ว ต้องพ่นเคลือบและเช็ดบ่อยๆ
เสร็จเรียบร้อยแล้วกับการล้างห้องเครื่อง ให้สวยงามและถูกวิธี ขอสำคัญคือทำความสะอาดบ่อยๆ และถือโอกาสตรวจเช็คส่วนต่างของประกอบต่างๆ เช่นท่อน้ำ ท่อน้ำมัน น้ำรั่ว น้ำมันเครื่องซึม สายพาน สายไฟ อื่นๆ ไปด้วยในตัวเลยนะครับ
เตรียมอุปกรณ์ การทำความสะอาดล้างห้องเครื่อง
1. น้ำยาล้างเครื่องยนต์ หาซื้อได้ตามเชียงกง หรือร้านอะไหล่ ราคาไม่เกิน 500 บาท/แกลลอน (ส่วนยี่ห้อ ถ้าอยากได้ของดีจริงๆ ให้สังเกตดีๆตามในรูปนะครับ หลังจากที่ใช้มาเกือบทุกยี่ห้อในเชียงกง แต่แล้วก็ต้องกลับมายี่ห้อเดิม ก็คุณภาพมันต่างกันมากเหลือเกินนี่ครับ)
2. น้ำมันผสม เลือกได้ทั้ง 2 แบบ คือน้ำมันเบนซิล 91 ก็พอ หรือจะใช้ 95 ก็ได้(มันแพงเกินไปหน่อย) หรือน้ำมันโซล่าหรือน้ำมันดีเซลนี่หละ แล้วอย่าพึ่งรีบไปผสมแล้วอยากเอี่ยมไปล้างก่อนล่ะ อ่านให้จบก่อนดีกว่า ผสมผิดคิดจนตายได้ อย่างนี้หละที่เขาเรียกว่า เคล็ดลับ
3. แปรงทาสี ขนาดพอเหมาะสัก 1 นิ้ว หรือ 1.5 นิ้ว , ฟองน้ำล้างรถ (ไม่ต้องใช้แพงๆครับ เพราะมันโดนน้ำมันทีเดียวก็อาจเหลวเสียทิ้งได้เลย) หรือสก็อตไบท์ สำหรับท่านที่คิดว่าเครื่องสกปรกมากๆ
4. ถุงพลาสติก เทปพันสายไฟ หรืออะไรก็ได้ที่ใกล้เคียง คงไม่ได้เอามาใส่ขยะแน่ จุดประสงค์ใช้เปิดตามปลั๊กไฟเพื่อกันน้ำ
5. น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy หรือ Carwash หรือไม่มีจริงๆ ก็พวกน้ำยาครอบจักรวาล Sonax , WD40 หรือใช้ควบคู่กันก็ดีครับ
6. เครื่องเป่าลม เครื่องปั้มลมแรงๆ หรือพวกเครื่องดูดฝุ่นที่สามารถเป่าลมได้ ยิ่งแรงๆยิ่งดี ใช้ในการเป่าน้ำให้แห้ง
7. น้ำ คงไม่ต้องอธิบายกันมาก
ขั้นตอนการทำความสะอาด
1. ถอดขั้วแบตเตอร์รี่ก่อน การล้างครั้งนี้เราต้องใช้น้ำ และน้ำคือสื่อไฟฟ้า อาจจะทำให้เกิดการลัดวงจรต่อระบบไฟหัวฉีด กล่องคอมพิวเตอร์พังได้ (พังมาเยอะ) หรือเกิดไฟช็อตลุกติดน้ำมันผสมได้ (กลายเป็นได้ซื้อรถใหม่ทั้งคัน ) และอย่างน้อยก็ป้องกันคนหวังดี แอบไปสตาร์ทเครื่องในขณะคุณที่กำลังล้างเครื่องอยู่
2. หุ้มพลาสติกปลั๊กไฟ และพวกขั้วไฟฟ้าต่างๆ เช่น ปลั๊กจานจ่าย จานจ่าย คอยล์ ตัวช่วยจุดระเบิด ปลั๊กเซนเซอร์ หัวฉีดต่างๆ ที่พอจะหุ้มได้ กล่องฟิวส์ และปลั๊กไฟที่สำคัญทุกๆ จุด
3. ผสมน้ำมันล้าง กับน้ำยา หาภาชนะมาเทน้ำยาล้างเครื่องลงไปก่อน แล้วใช้น้ำมันเทผสมการเลือกใช้น้ำมันผสม
* น้ำมันดีเซล โซล่า ใช้กรณีที่สกปรกน้อย พวกจุดที่มีฝุ่นผงเกาะ น้ำมันเปื้อนเล็กน้อย คอไอดีที่เป็นอะลูมิเนียม หรือพวกจุดต่างๆที่ต้องการความเงางาม และจุดที่เป็นอลูมิเนียมปัดเงา การผสมน้ำมันดีเซลจะทำให้เกิดความเงางามเพิ่มขึ้น อัตตราส่วนไม่ควรเกิน 2:1 (น้ำยา 2 ส่วน : น้ำมันโซล่า 1 ส่วน) ผสมมากเกินไปจะใสล้างไม่ค่อยออก ผสมน้อยไปก็ล้างไม่ค่อยออกเหมือนกัน
* น้ำมันเบนซิล ใช้ในกรณีสกปรกมากๆ จุดที่จะล้างมีคราบน้ำมันเหนียว หรือเป็นคราบแข็งเป็นเวลานานๆ การผสมน้ำมันเบนซิลมีผลในการกัดที่รุนแรงมาก ไม่ควรใช้ทากับพลาสติก จุดที่เป็นสีดำ จุดที่พ่นสีด้วยสีเสปย์ หรือพวกอลูมิเนียมเงา หรือปัดเงา จะทำให้เกิดคราบกัดขาว อัตตาส่วนผสมไม่ควรเกิน 3:1 หรือ 2:1 (น้ำยา 3 ส่วน : น้ำมัน 1 ส่วน) ผสมมากการกัดก็รุนแรงมาก
4. ทาน้ำยาผสมล้างให้ทั่ว ใช้แปรงทาสี จุ่ม และค่อยๆทา ถ้าไม่ออกทาแรงๆ ถ้าไม่ออกก็ฟองน้ำ สก็อตไบท์ บรรเลงลงไปเลยครับ นี่หละเคล็ดลับ แต่การใช้สก็อตไบท์ ต้องระวังหน่อย อย่าขัดพวกสีรถ หรือพวกพลาสติก จะทำให้เกิดรอย ใช้ในจุดที่อยากให้ออกจริงๆ ต้องระวัง
5. ใช้น้ำล้างออก ควรใช้ฟองน้ำชุบน้ำหมาดๆ เช็ดน้ำยาและคราบออก ตามจุดที่ควรระวังเช่น ฝาครอบสายหัวเทียน สายหัวเทียน ฝาครอบวาล์ว จานจ่าย ตัวช่วยจุดระเบิด กล่องฟิวส์ และจะสำคัญเกี่ยวกับระบบไฟทุกๆจุด และใช้น้ำค่อยๆเทราดไปในส่วนที่ต้องการล้าง ใช้แปรง และฟองน้ำ ควบคู่กันจนออกหมด
6. เป่าลมไล่น้ำให้แห้ง ใช้เครื่องปั้มลม หรือเครื่องดูดฝุ่น(ต่อให้เป็นแบบเป่าลมได้) หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไดเป่าผมเนี่ยหละครับ ต้องลงทุนกันบ้างแล้ว เป่าไล่น้ำตามจุดต่างๆ ออกให้หมด เน้นๆพวกปลั๊กไฟ จานจ่าย และหัวเทียน พร้อมแกะพลาสติกหุ้มออกให้หมด และเป่าลมจนน้ำแห้งสนิท
7. ใส่ขั้วแบตสตาร์ทเครื่องได้ เป็นการทดสอบว่ามีน้ำเข้าไปตามปลั๊กไฟหรือไม่ ถ้าเครื่องยังเดินสมบูรณ์ไม่มีปัญหาถือว่าไชโยโอเค ถ้าเกิดสตาร์ทไม่ติด หรือเดินไม่นิ่ง ต้องถอดขั้วแบต และเป่าลมไล่น้ำอีกครั้ง เน้นๆจานจ่าย คอยล์ ปลั๊กหัวเทียน และปลั๊กไฟต่างๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ถอดมา แล้วเป่าลมให้แห้ง พ่นน้ำยากันสนิม หรือน้ำยาล้างหน้าคอนแทค ถือเป็นการทำความสะอาดขั้วไฟไปในตัว
8. เคลือบเงา หลังจากสตาร์ทเครื่องอุ่นสักพักจนน้ำแห้งดี รอให้เครื่องเย็นก่อนครับ แล้วใช้น้ำยาเคลือบเงา พวก Waxy มาจุ่มด้วยฟองน้ำ และทาในจุดที่ต้องการให้เงางาม ถือว่าดีที่สุด หรือใช้น้ำมันพวกครอบจักรวาล พ่นเคลือบในจุดที่แห้ง และจะเกิดสนิม ใช้น้ำมันเครื่องกับจารบี ทาหรือหยอดในจุดหมุนต่างๆ เป็นการป้องกันสนิม และหล่อลื่นไปในตัว การใช้น้ำมันเครื่องมาทาให้เงางาม ผลเสียคือฝุ่นจะจับตัวเร็วมาก ถ้าเป็นน้ำมันครอบจักรวาล พวกนี้จะระเหยตัวเร็ว ต้องพ่นเคลือบและเช็ดบ่อยๆ
เสร็จเรียบร้อยแล้วกับการล้างห้องเครื่อง ให้สวยงามและถูกวิธี ขอสำคัญคือทำความสะอาดบ่อยๆ และถือโอกาสตรวจเช็คส่วนต่างของประกอบต่างๆ เช่นท่อน้ำ ท่อน้ำมัน น้ำรั่ว น้ำมันเครื่องซึม สายพาน สายไฟ อื่นๆ ไปด้วยในตัวเลยนะครับ
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มานับอายุ(ขัย)ของยางกันเถอะ
ความสำคัญของ "ยางรถยนต์" นั้นขอบอกว่าไม่แพ้กับชิ้นส่วนอื่นๆที่ประกอบขึ้นมาเป็นรถ 1 คันเลย เพราะนอกจากจะช่วยให้รถขับเคลื่อนไปได้แล้วยังช่วยในระบบการเบรกเมื่ออยู่ใน ถนนที่มีสภาพที่ลื่นหรือขรุขระ ยางที่ดีนั้นจะต้องมีคุณสมบัติในการช่วยให้ผู้ขับขี่มีความนั่นใจและลดการ กระแทก ผู้ใช้รถหลายคนลืมที่จะให้ความสำคัญกับยางแต่กลับไปเน้นที่น้ำมันหรือ เครื่องยนต์จนลืมนึกถึงความสำคัญของยางที่เรียกได้ว่าจะต้องเผชิญกับสภาพ แวดล้อมที่โหดร้ายตลอดเวลาการใช้งาน
ผลการวิจัยพบว่าเนื้อยางนั้นจะมีการยืดตัวไปมานับเป็นล้านๆครั้งขณะที่ กลิ้งตัวไปตามถนนจนกว่าจะหมดสภาพการใช้งาน ตัวอย่างเช่นยางขนาด 185/70 R13 หากวิ่งด้วยความเร็ว 130 กม./ชม. จะต้องหมุนถึง 20 รอบ/วินาที นั่นแสดงว่าการออกแบบและการผลิตยางแต่ละเส้นนั้นได้มีการนำองค์ประกอบต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความทนทานและอายุการใช้งานเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว อายุของยางรถยนต์จะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ไปใช้งานจริงหรือติดล้อวิ่งไม่ใช่ จากวันเดือนปีที่ผลิตเหมือนอย่างอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆและหากพิจารณาถึง การสิ้นสุดของการใช้งานแล้วล่ะก็ ให้พิจารณาจากความสึกหรอของดอกยาง ซึ่งดูจากสะพานยางที่อยู่ระหว่างร่องดอกยาง ที่มีควาสูงประมาณ 1.6 มิลลิเมตร หากพบว่าดอกยางมีอัตราการสึกจนถึงระดับนี้แล้วแสดงว่ายางเส้นนั้นหมดอายุและ ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่เพื่อความปลอดภัยอย่างไรก็ดี หากคุณต้องการให้การขับขี่อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ในสภาพการขับขี่ที่มีฝน ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทุกครั้งเมื่อ ตรวจสอบพบว่าการสึกหรอ ลึกประมาณ 3.5 มิลลิเมตร
สำหรับยางที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งานนั้น สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาจากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต) ก่อนนำไปติดล้อวิ่งจริงซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากจนกระทั่งผู้ขับขี่ไม่ จำเป็นที่ต้องให้ความสนใจในการตัดสินใจซื้อยาง แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับการเลือกยางรถยนต์ให้ถูกกับการใช้งาน ยี่ห้อที่ไว้ใจได้และมีการดูแลยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย ที่แท้จริง นอกจากนี้หากว่าต้องการยืดอายุการใช้งานของยางให้มากขึ้นเราก็มีเคล็ดลับมา ให้ท่านผู้อ่านลองทำตามดู
เก็บรักษายางอย่างไรดี?
**ขอบคุณข้อมูลจาก มิชลิน**
ผลการวิจัยพบว่าเนื้อยางนั้นจะมีการยืดตัวไปมานับเป็นล้านๆครั้งขณะที่ กลิ้งตัวไปตามถนนจนกว่าจะหมดสภาพการใช้งาน ตัวอย่างเช่นยางขนาด 185/70 R13 หากวิ่งด้วยความเร็ว 130 กม./ชม. จะต้องหมุนถึง 20 รอบ/วินาที นั่นแสดงว่าการออกแบบและการผลิตยางแต่ละเส้นนั้นได้มีการนำองค์ประกอบต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความทนทานและอายุการใช้งานเข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว อายุของยางรถยนต์จะเริ่มตั้งแต่วันแรกที่ไปใช้งานจริงหรือติดล้อวิ่งไม่ใช่ จากวันเดือนปีที่ผลิตเหมือนอย่างอาหารหรือผลิตภัณฑ์อื่นๆและหากพิจารณาถึง การสิ้นสุดของการใช้งานแล้วล่ะก็ ให้พิจารณาจากความสึกหรอของดอกยาง ซึ่งดูจากสะพานยางที่อยู่ระหว่างร่องดอกยาง ที่มีควาสูงประมาณ 1.6 มิลลิเมตร หากพบว่าดอกยางมีอัตราการสึกจนถึงระดับนี้แล้วแสดงว่ายางเส้นนั้นหมดอายุและ ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่เพื่อความปลอดภัยอย่างไรก็ดี หากคุณต้องการให้การขับขี่อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ในสภาพการขับขี่ที่มีฝน ขอแนะนำให้คุณเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทุกครั้งเมื่อ ตรวจสอบพบว่าการสึกหรอ ลึกประมาณ 3.5 มิลลิเมตร
สำหรับยางที่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้งานนั้น สามารถเก็บได้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเก็บรักษาจากคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิต) ก่อนนำไปติดล้อวิ่งจริงซึ่งเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากจนกระทั่งผู้ขับขี่ไม่ จำเป็นที่ต้องให้ความสนใจในการตัดสินใจซื้อยาง แต่ก็ควรให้ความสำคัญกับการเลือกยางรถยนต์ให้ถูกกับการใช้งาน ยี่ห้อที่ไว้ใจได้และมีการดูแลยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย ที่แท้จริง นอกจากนี้หากว่าต้องการยืดอายุการใช้งานของยางให้มากขึ้นเราก็มีเคล็ดลับมา ให้ท่านผู้อ่านลองทำตามดู
- ควรตรวจสอบลมยางเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ หรือทุกครั้งก่อนการเดินทางไกลให้มีความดันลมยางที่เหมาะสม (ควรทำเมื่อยางอยู่ในอุณหภูมิปกติ) นอกจากนั้นควรตรวจสอบความดันลมยางของยางอะไหล่ และควรอ้างอิงความดันลมยางจากคู่มือของบริษัทนั้นๆ
- ควรเปลี่ยนวาล์วทุกครั้งที่เปลี่ยนยางเส้นใหม่ เนื่องจากความกดดันจากแรงหนีศูนย์อาจทำให้ยางลมอ่อน ส่งผลให้ยางเกิดความเสียหายได้
- การตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ เพื่อปกป้องช่วงล่าง ช่วยลดการสั่นสะเทือน รองรับแรงกระแทกรวมถึงระบบพวงมาลัยทำให้ยางใช้งานได้ยาวนานยิ่งขึ้น
- ลักษณะการทรงตัวของรถเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการสึกหรอของยางการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจะช่วยไม่ให้ลมยางอ่อน เสื่อมสภาพเร็วและสึก
เก็บรักษายางอย่างไรดี?
- การเก็บรักษายางของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ คุณควรทำความสะอาดยางด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้ง แกะเอากรวดและก้อนหินต่างๆ ซึ่งอาจติดอยู่ที่ดอกยางออกเสมอ
- การเก็บรักษาที่ดี ช่วยให้การใช้งานยางของคุณยาวนานมากยิ่งขึ้น
- หากใส่ยางเข้ากับล้อแล้ว ควรเก็บโดยการวางราบลงกับพื้น หรือหาที่แขวน
- หากยังไม่ได้ยางใส่เข้ากับล้อ ให้เก็บยางโดยการตั้งยางไว้กับพื้น
- ขอแนะนำให้ให้คุณเก็บรักษายางไว้ในที่เย็น ไม่ควรเก็บยางไว้ในที่ที่ถูกแสงแดดโดยตรง เมื่อทำการเปลี่ยนยาง หรือสลับยางระหว่างล้อ ควรจดจำตำแหน่งในการใส่ให้ถูกต้อง อาทิเช่น ควรทำเครื่องหมาย FL แทนสำหรับ ยางล้อหน้าด้านซ้าย
- ในกรณีที่คุณมีรถพ่วง หรือยานยนต์ที่มักต้องทิ้งให้จอดอยู่ในโรงรถเป็นเวลานานๆ ขอแนะนำให้คุณเพิ่มแรงดันยางมากกว่าปกติ อย่างน้อย 7 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (0.5 บาร์)
**ขอบคุณข้อมูลจาก มิชลิน**
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทำไมบางคนถึงมีกลิ่นตัวแรง
หลายคนอาจจะเห็นประสบพบ ปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวคุณเอง คนใกล้ตัว หรือ เพื่อนฝูงรอบข้าง วันนี้ทีมงานสนุก! แคมปัส ขออาสาพาไปไขข้อข้องใจกัน…
การมีกลิ่นตัวแรงอาจเนื่องมาจากเหตุ 3 ประการด้วยกัน คือ…
ประการแรก อาจเกิดขึ้นจาการมีสาร บางอย่างที่มีกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ในกระแสเลือด โดยสารพวกนี้ได้รับเข้าไปทางอาหารและจะถูกขับออกมาทิ้งโดยทางเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
ประการที่สอง อาจเกิดจากพวกแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง รวมกับเหงื่อ ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็น
ประการที่สาม เกิดจากการสลายตัวของสารที่ละลายปนออกมากับเหงื่อ ทำให้มีกลิ่นเหงื่อเกิดขึ้น โดยมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่สนใจที่จะอาบน้ำชำระเหงื่อไคล หรือไม่ค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอยู่เสมอ
ที่มา: วิทยาศาสตร์ 5 นาที ชุดที่ 4 โดย อำนาจ เจริญศิลป์
การมีกลิ่นตัวแรงอาจเนื่องมาจากเหตุ 3 ประการด้วยกัน คือ…
ประการแรก อาจเกิดขึ้นจาการมีสาร บางอย่างที่มีกลิ่นเหม็นนั้นอยู่ในกระแสเลือด โดยสารพวกนี้ได้รับเข้าไปทางอาหารและจะถูกขับออกมาทิ้งโดยทางเหงื่อ ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
ประการที่สอง อาจเกิดจากพวกแบคทีเรียที่มีอยู่ตามผิวหนัง รวมกับเหงื่อ ทำให้เกิดการบูดเน่าและมีกลิ่นเหม็น
ประการที่สาม เกิดจากการสลายตัวของสารที่ละลายปนออกมากับเหงื่อ ทำให้มีกลิ่นเหงื่อเกิดขึ้น โดยมากจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ไม่สนใจที่จะอาบน้ำชำระเหงื่อไคล หรือไม่ค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มอยู่เสมอ
ที่มา: วิทยาศาสตร์ 5 นาที ชุดที่ 4 โดย อำนาจ เจริญศิลป์
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ทำไมเวลาไม่สบายหมดถึงต้องให้น้ำเกลือ
หลายคนเวลาไม่สบายเข้าโรงพยาบาลคงจะเคยโดนหมดให้น้ำเกลือมาแล้วใช่ไหม ครับ ไอน้ำเกลือจริงๆแล้วมันคืออะไรหลายคนมักเข้าใจผิดว่าน้ำเกลือ เนียเป็นยาวิเศษ ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาล หรือ แม้แต่ไปพบหมอ ต้องขอร้องให้ ให้น้ำเกลือ โดยให้เหตุผลร้อยแปดพันเก้า เช่น จะได้อ้วนท้วนแข็งแรงสุขภาพดี กินได้ นอนหลับ เป็นต้น ส่วนบางคนเข้าใจผิดไปอีกด้านหนึ่งเลย คือเชื่อว่าการให้น้ำเกลือเป็นสัญญาณว่าคนไข้อาการหนักแล้ว อย่างนี้ต้องอธิบายให้ฟังทั้งคู่เสียแล้วละ
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ ตามปกติแล้วร่างกายของคนเราจะเสียน้ำออกไปจากร่างกาย โดยการขับถ่ายเป็นน้ำปัสสาวะ หรือเป็นเหงื่อ หรือเป็นไอน้ำออกมาทางลมหายใจ รวมแล้วจะมีน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายวันหนึ่งราว ๒ ลิตรครึ่ง เราจึงต้องการน้ำเข้าไปแทนที่โดยการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ
แต่เมื่อผู้ป่วยเสียน้ำมากกว่าปกติ เช่น ท้องเดิน อาเจียน เหงื่อออกมาก ไข้สูง เสียเลือดจากอุบัติเหตุ เป็นต้น แพยท์จึงต้องให้น้ำเข้าไปทดแทน โดยให้น้ำเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แต่เนื่องจากน้ำกับเลือดมีความเข้มข้นต่างกัน จึงเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับเลือด นอกจากนั้นน้ำเกลือยังช่วยเปิดเส้นเลือดไว้ เพื่อให้เลือดหมุนเวียน จนยาที่ผสมอยู่สามารถไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงเส้นเลือดดำได้อย่างราบรื่น
น้ำเกลือจึงไม่ใช่ทั้งยาวิเศษ และสัญญาณอันตรายอะไรเลย เป็นขั้นตอนที่มีเหตุผลของการฟื้นฟูร่างกายของเราเท่านั้นเองครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ ตามปกติแล้วร่างกายของคนเราจะเสียน้ำออกไปจากร่างกาย โดยการขับถ่ายเป็นน้ำปัสสาวะ หรือเป็นเหงื่อ หรือเป็นไอน้ำออกมาทางลมหายใจ รวมแล้วจะมีน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายวันหนึ่งราว ๒ ลิตรครึ่ง เราจึงต้องการน้ำเข้าไปแทนที่โดยการดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ
แต่เมื่อผู้ป่วยเสียน้ำมากกว่าปกติ เช่น ท้องเดิน อาเจียน เหงื่อออกมาก ไข้สูง เสียเลือดจากอุบัติเหตุ เป็นต้น แพยท์จึงต้องให้น้ำเข้าไปทดแทน โดยให้น้ำเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง แต่เนื่องจากน้ำกับเลือดมีความเข้มข้นต่างกัน จึงเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อให้มีความเข้มข้นเท่ากับเลือด นอกจากนั้นน้ำเกลือยังช่วยเปิดเส้นเลือดไว้ เพื่อให้เลือดหมุนเวียน จนยาที่ผสมอยู่สามารถไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงเส้นเลือดดำได้อย่างราบรื่น
น้ำเกลือจึงไม่ใช่ทั้งยาวิเศษ และสัญญาณอันตรายอะไรเลย เป็นขั้นตอนที่มีเหตุผลของการฟื้นฟูร่างกายของเราเท่านั้นเองครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ไขมันปลาอาหารสมอง
มีงานวิจัยน่าสนใจจากสวีเดนกล่าวว่า วันรุ่นชายที่บริโภคปลาไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละครั้งจะมีความฉลาดทั้งทางสมองและอารมร์มากขึ้น
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากับผู้ชายวัย 15 – 18 ปี จำนวน 5,000 คน พบว่าผู้ที่กินปลาเป็นประจำโดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า – 3 ในปริมาณสูง อย่างเช่น ปลาแซลมอนแมคเคอเรล หรือทูน่า จะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา โดยวัดจากคะแนนการทำข้อสอบ
ผู้วิจัยกล่าวว่า ช่วงวันรุ่นตอนปลายเป็นวัยที่สมองส่วนความจำ อารมณ์ และการเข้าสังคมมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ สารอาหารที่จำเป็นต่อสมองอย่างโอเมก้า – 3 ในปลาจึงช่วยให้สมองเติบโตสมบูรณ์ และจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากมารดาบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยเมก้า – 3 ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากับผู้ชายวัย 15 – 18 ปี จำนวน 5,000 คน พบว่าผู้ที่กินปลาเป็นประจำโดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า – 3 ในปริมาณสูง อย่างเช่น ปลาแซลมอนแมคเคอเรล หรือทูน่า จะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา โดยวัดจากคะแนนการทำข้อสอบ
ผู้วิจัยกล่าวว่า ช่วงวันรุ่นตอนปลายเป็นวัยที่สมองส่วนความจำ อารมณ์ และการเข้าสังคมมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ สารอาหารที่จำเป็นต่อสมองอย่างโอเมก้า – 3 ในปลาจึงช่วยให้สมองเติบโตสมบูรณ์ และจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากมารดาบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยเมก้า – 3 ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ดื่มแต่น้อย ดีต่อกระดูก
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีผลเสียต่อหัวใจและนำไปสู่โรคมะเร็งได้หากมากเกินไป แต่การดื่มไม่เกินวันละ 2 แก้ว โดยเฉพาะไวน์และเบียร์จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผุ้สูงอายุได้จะช่วย เพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผู้สูงอายุได้ นักวิจัยจากมหาลัยทัฟท์สในบอสตันเปิดเผยว่า แอลกอฮอล์มีส่วนช่วยรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกในชายและหญิงสูงวัย แต่ไม่พบความเกี่ยวข้องใดในหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน โดยไวน์นั้นดีสำหรับผู้หญิง เพราะมีซิลิคอนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูก ทำให้กระดูกสันหลังและสะโพกแข็งแรงกว่าปกติ 5 – 8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเบียร์ดีสำหรับผู้ชาย เพราะอุดมไปด้วยพอลิฟีนอลที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอาจช่วยไม่ให้กระดูกผุได้ 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเหล้านั้นไม่ดีกับใครเลย
การเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่ไก่ระหว่างการเก็บรักษา
ไข่ไก่เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งไข่ที่มีคุณภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามหลังจากที่ไข่ไก่ออกจากแม่ไก่แล้ว
คุณภาพของไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่สามารถสังเกตได้จาดองค์ประกอบของไข่ที่มี ลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาการเก็บรักษา ลักษณะที่พบได้ในไข่เก่ามีดังต่อไปนี้ ในกรณีของไข่แดง พบว่า ไข่แดงขยายตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากการแครื่อนที่ของน้ำในไข่ขาว ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าไปยังไข่แดงที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า
ทำให้เยื่อหุ้มไข่แดงฉีกขาดออก ดังนั้นในไข่เก่าจะแยกไข่ขาวกับไข่แดง ออกจากกันได้ยาก และเมื่อตอกไข่เก่าลงบนพื้นจะเห็นว่าไข่แดงมีลักษณะแบนราบกว่าปกติ ขณะที่ไข่ขาวเปลี่ยนจากลักษณะข้นกลายเป็นเหลว เนื่องจากเอนไซม์ในไข่ขาวย่อยโปรตีนให้เป็นลิกุลที่เล็กลง นอกจากนี้ไข่ข่าวยังมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เสียไปทางรูเปลือกไข่ ทำให้ไข่มีความเป็นกรดลดลง
จุลินทรีย์เจริญได้ดีขึ้น ไข่จึงเกิดการเน่าเสียได้ง่าย อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาไข่ให้อยู่ในสภาวะที่เมาะสม เช่นการเก็บในที่มีอุณหภูมิต่ำ (ในตู้เย็นที่ 4 – 5 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาไข่ให้ยาวนานขึ้นได้
ชมรมเทคโนโลยีทางอาหารและชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
คุณภาพของไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่สามารถสังเกตได้จาดองค์ประกอบของไข่ที่มี ลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาการเก็บรักษา ลักษณะที่พบได้ในไข่เก่ามีดังต่อไปนี้ ในกรณีของไข่แดง พบว่า ไข่แดงขยายตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากการแครื่อนที่ของน้ำในไข่ขาว ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าไปยังไข่แดงที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า
ทำให้เยื่อหุ้มไข่แดงฉีกขาดออก ดังนั้นในไข่เก่าจะแยกไข่ขาวกับไข่แดง ออกจากกันได้ยาก และเมื่อตอกไข่เก่าลงบนพื้นจะเห็นว่าไข่แดงมีลักษณะแบนราบกว่าปกติ ขณะที่ไข่ขาวเปลี่ยนจากลักษณะข้นกลายเป็นเหลว เนื่องจากเอนไซม์ในไข่ขาวย่อยโปรตีนให้เป็นลิกุลที่เล็กลง นอกจากนี้ไข่ข่าวยังมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เสียไปทางรูเปลือกไข่ ทำให้ไข่มีความเป็นกรดลดลง
จุลินทรีย์เจริญได้ดีขึ้น ไข่จึงเกิดการเน่าเสียได้ง่าย อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาไข่ให้อยู่ในสภาวะที่เมาะสม เช่นการเก็บในที่มีอุณหภูมิต่ำ (ในตู้เย็นที่ 4 – 5 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาไข่ให้ยาวนานขึ้นได้
ชมรมเทคโนโลยีทางอาหารและชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
รถควันดำแก้ไขได้
ควันดำของเครื่องยนต์ดีเซลเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของน้ำมันเชื้อ เพลิง ซึ่งทำให้คาร์บอนบางส่วนในน้ำมันเชื้อเพลิง (ไฮโดรคาร์บอน) ไม่ได้ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จึงเหลือเป็นเขม่าดำออกมาทางท่อไอเสีย
ซึ่งสามารถวิเคราะห์แยกสาเหตุที่รถมีควันดำได้ ดังนี้
1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบ และกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด และทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
4. กรองอากาศอุดตัน
5. น้ำมันเครื่อง มีอายุการใช้งานมาก
6. เขม่าควันดำ และฝุ่นละออง ค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย
วิธีแก้ไข
1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมัน และเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่ง อัตราและจังหวะการฉีดน้ำมัน ให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้อง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6.ทำการล้างท่อไอเสีย โดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย
ที่มา : สาระน่ารู้ กรมการขนส่งทางบก
ซึ่งสามารถวิเคราะห์แยกสาเหตุที่รถมีควันดำได้ ดังนี้
1. เครื่องยนต์สึกหรอมาก เช่น ลูกสูบ และกระบอกสูบ แหวนลูกสูบชำรุด
2. ปั๊มฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด และทำงานไม่ถูกต้อง หรือฉีดน้ำมันในจังหวะที่ไม่ถูกต้อง
3. หัวฉีดน้ำมันแรงดันสูงที่จ่ายเข้าไปในห้องเผาไหม้ชำรุด
4. กรองอากาศอุดตัน
5. น้ำมันเครื่อง มีอายุการใช้งานมาก
6. เขม่าควันดำ และฝุ่นละออง ค้างอยู่ภายในท่อไอเสีย
วิธีแก้ไข
1. ซ่อมแซมเครื่องยนต์ในส่วนที่สึกหรอ เช่น เปลี่ยนลูกสูบ แหวนลูกสูบ หรือ ทำการคว้านกระบอกสูบ แล้วเปลี่ยนลูกสูบให้ใหญ่ขึ้น
2. ทำการเช็กปั๊ม โดยนำเข้าศูนย์บริการ ทำการปรับแต่งปั๊มจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่ชำรุดสึกหรอ รวมทั้งปรับแต่งหัวฉีดน้ำมัน และเปลี่ยนชิ้นส่วน ที่สึกหรอ รวมทั้งการปรับแต่ง อัตราและจังหวะการฉีดน้ำมัน ให้ถูกต้องเป็นไปตามบริษัทผู้ผลิตกำหนด
3. เปลี่ยนไส้กรองอากาศใหม่ เพื่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบรูณ์
4. เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ตามระยะเวลาที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด
5. ปรับแต่งเครื่องยนต์ให้ทำงานถูกต้อง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม
6.ทำการล้างท่อไอเสีย โดยใช้น้ำหรือลมฉีดชะล้างเขม่า และฝุ่นละอองภายในท่อไอเสีย
ที่มา : สาระน่ารู้ กรมการขนส่งทางบก
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553
การกำจัดเซลลูไลท์
- ลด ละ เลิกอาหารไขมันชนิดไม่ดี
อาหารประกอบไปด้วยไขมันชนิดไม่ดี เช่นไขมันที่ได้จากสัตว์ อาหารสำเร็จรูป อาหารฟาสต์ฟู๊ด ขอบอกนะว่าไขมันประเภทนี้จะเป็นตัวกระตุ้นดีๆ เลยแหละที่ก่อให้เกิดเซลลูไลท์ใต้ผิวหนังเรา ทางที่ดีพยายามลดหน่อยก็ดีนะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็เลิกทานไปเลยก็ได้ รับรองไม่มีเวลูไลท์ให้รำคาญในแน่นอน - กินอาหารต้านเซลลูไลท์
- ผักและผลไม้สด : กินเยอะๆ นะเพราะวิตามินซีและอีที่มีอยู่ในอาหารสองอย่างนี้มีสรรพคุณยอดเยี่ยม กระเทียมดองเลย คือช่วยให้ผิวกระซับขึ้น ไม่หย่อนยานเนื่องจากมีเซลลูไลท์ไงล่ะ
- น้ำมันปลา ถั่ว เมล็ดพืช อาหารชนิดนี้จะมีไขมันชนิดดีเต็มเปี่ยมเลยแหละ ทานแล้วจะช่วยให้เลือดเราไหลเวียนดีขึ้น ไม่ไหลยากเหมือนตอนก้อนเซลลูไลท์ขัดขว้างอยู่ไงล่ะ
- น้ำเปล่า : อย่างที่เราเคยบอกสาวๆ ไว้ว่าให้ดื่มน้ำวันล่ะ 8 แก้ว
วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ถึงฝนตกผมก็สวยได้
1. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับเส้นผม
ถ้าในฤดูอื่นคุณไม่ได้สนใจเลือกแชมพูกับครีมนวด ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเสียเวลาอ่านฉลากว่าแชมพูแต่ละขวดทำมาเพื่อผม แบบไหนแล้วซื้อชนิดไหนที่เหมาะสมกับผมคุณที่สุด เพราะมันจะช่วยให้ผมคุณได้รับการบำรุงที่ตรงจุด ผมบางคนอาจจะเสียน้อย แต่เลือกแชมพูมั่วซั่ว อาจจากเสียน้อยก็เลยขาดมากไปเลย นี่ล่ะอิธิพลของแชมพู
2. พกร่มติดตัว
ก็รู้อยู่แล้วว่าฝนจะตก แล้วจะเดินออกไปตัวเปล่าทำไมล่ะหนูเจ้าของร่มคันละไม่กี่บาทนี่ล่ะจะป้องกัน ผมคุณจากสายฝนให้อยู่ทรงตลอดทั้งวันได้ ไม่อย่างนั้นอุตส่าห์ฉีดสเปรย์ ทาเจล แต่งทรงมาดีๆ น้ำฝนก็เอาไปกินหมด
3. พกไดร์เป่าผม
เดี๋ยวนี้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตมีไดร์อันเล็กจิ๋วขายกันแล้ว สาวแซบจึงไม่ควรพลาดซื้อเก็บไว้ใช้สักอัน เพื่อโชคร้าย ถูกน้ำฝนเล่นงานจนผมเปียกหัวลีบ จะได้งัดไดร์ฉุกเฉินออกมาเป่าให้ผมกลับมาพลิ้วสวยอย่างเดิม อย่าคิดว่าแค่ปล่อยให้ผมแห้งเองก็พอแล้ว เพราะฤดูนี้ความชื้นในอากาศสูงมาก ผมจึงไม่ค่อยแห้งสนิท ทำให้ผมเสีย ไม่ก็ชี้ฟูไปทั้งวัน เสียมาดสาวทำงานคนเก่งไปหมด
4. ติดอุปกรณ์แต่งทรงผมมาด้วย
หลังจากเป่าผมจนแห้งเสียแล้วจะดีมากถ้ามีสเปรย์หรือมูสมาจัดแต่งทรงผมเสีย หน่อย ถ้าหากว่าคุณเผลอเป่าผมแห้งไม่สนิท อย่างน้อยมูสพวกนี้ยังช่วยให้ผมอยู่ทรงไม่พองฟูเป็นไม้กวาด
ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy
ถ้าในฤดูอื่นคุณไม่ได้สนใจเลือกแชมพูกับครีมนวด ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเสียเวลาอ่านฉลากว่าแชมพูแต่ละขวดทำมาเพื่อผม แบบไหนแล้วซื้อชนิดไหนที่เหมาะสมกับผมคุณที่สุด เพราะมันจะช่วยให้ผมคุณได้รับการบำรุงที่ตรงจุด ผมบางคนอาจจะเสียน้อย แต่เลือกแชมพูมั่วซั่ว อาจจากเสียน้อยก็เลยขาดมากไปเลย นี่ล่ะอิธิพลของแชมพู
2. พกร่มติดตัว
ก็รู้อยู่แล้วว่าฝนจะตก แล้วจะเดินออกไปตัวเปล่าทำไมล่ะหนูเจ้าของร่มคันละไม่กี่บาทนี่ล่ะจะป้องกัน ผมคุณจากสายฝนให้อยู่ทรงตลอดทั้งวันได้ ไม่อย่างนั้นอุตส่าห์ฉีดสเปรย์ ทาเจล แต่งทรงมาดีๆ น้ำฝนก็เอาไปกินหมด
3. พกไดร์เป่าผม
เดี๋ยวนี้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตมีไดร์อันเล็กจิ๋วขายกันแล้ว สาวแซบจึงไม่ควรพลาดซื้อเก็บไว้ใช้สักอัน เพื่อโชคร้าย ถูกน้ำฝนเล่นงานจนผมเปียกหัวลีบ จะได้งัดไดร์ฉุกเฉินออกมาเป่าให้ผมกลับมาพลิ้วสวยอย่างเดิม อย่าคิดว่าแค่ปล่อยให้ผมแห้งเองก็พอแล้ว เพราะฤดูนี้ความชื้นในอากาศสูงมาก ผมจึงไม่ค่อยแห้งสนิท ทำให้ผมเสีย ไม่ก็ชี้ฟูไปทั้งวัน เสียมาดสาวทำงานคนเก่งไปหมด
4. ติดอุปกรณ์แต่งทรงผมมาด้วย
หลังจากเป่าผมจนแห้งเสียแล้วจะดีมากถ้ามีสเปรย์หรือมูสมาจัดแต่งทรงผมเสีย หน่อย ถ้าหากว่าคุณเผลอเป่าผมแห้งไม่สนิท อย่างน้อยมูสพวกนี้ยังช่วยให้ผมอยู่ทรงไม่พองฟูเป็นไม้กวาด
ขอขอบคุณ ที่มา : Spicy
ขนมเบื้องญวนอาชีพโบราณ…น่าเรียนรู้
จังหวัดนนทบุรี มีของดีเลื่องชื่อในเรื่องอาหารคาว หวาน และผลไม้ แต่ในที่นี้จะขอแนะนำการทำขนมเบื้องญวนสูตรโบราณแท้ๆ ซึ่งขณะนี้ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดนนทบุรีเป็นเจ้าภาพเปิดอบรมฟรีให้ กับประชาชนทั่วไป หรือคนว่างงาน ใช้เวลาอบรมเพียง 1 วัน ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ สนใจลองศึกษาดูได้มีฝีมือติดตัว
ลำดับแรกก็เตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อน
1. ไข่ (ไข่เป็ดหรือไข่ไก่)
2. ไส้ (ทำจากมะพร้าวอ่อนขูดผสมกันรากผักชีที่ดำละเอียดคลุกเข้ากัน)
3. ถั่วลิสงป่นเอง
4. เต้าหู้เหลือง (หั่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ)
5. หัวหอมแดง (หั่นเป็นแว่นเล็กๆ )
6. น้ำอาจาด
7. แตงกวา
8. พริกเหลือง
9. ต้นหอม
10. หัวไซโป๊หวาน
11. พริกไทยป่น
12. น้ำปลา
13. ผงชูรส
14. ถั่วงอก
15. ผักชี
16. กระทะ
17. ทัพพี
18. ตะหลิว
ต่อมาเป็นการทำน้ำอาจาด
น้ำต้มผสมกับน้ำตาลทรายและน้ำส้มสายชูและเกลือแกงนิดหน่อย ชิมน้ำให้รสชาติออเปรี้ยวหวาน
สำหรับขั้นตอนการทำขนมเบื้องญวนโบราณ
1. วิธีการผสมแป้ง นำแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำใช้เวลาพอประมาณให้เข้ากัน
2. ตีไข่กับแป้งพร้อมเครื่องปรุง
3. ตั้งกระทะให้ร้อนใช้ไฟปานกลาง
4. เอาแป้งร่อนใส่กระทะให้เป็นวงกลม
5. นำส่วนผสมใส่ทั้งหมดแล้วใช้เวลาพอประมาณโดยการสังเกตว่าแป้งสุกหรือยัง เมื่อสุกแล้วเอาขึ้นจากกระทะเพื่อให้น้ำมันสะเด็ดแล้วตักใส่จานหรือใส่ ใบตองก็ได้
สนใจรับการอบรม ติดต่อสอบถามที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงานจังหวัดนนทบุรี
ที่มา : เดลินิวส์
ลำดับแรกก็เตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อน
1. ไข่ (ไข่เป็ดหรือไข่ไก่)
2. ไส้ (ทำจากมะพร้าวอ่อนขูดผสมกันรากผักชีที่ดำละเอียดคลุกเข้ากัน)
3. ถั่วลิสงป่นเอง
4. เต้าหู้เหลือง (หั่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ)
5. หัวหอมแดง (หั่นเป็นแว่นเล็กๆ )
6. น้ำอาจาด
7. แตงกวา
8. พริกเหลือง
9. ต้นหอม
10. หัวไซโป๊หวาน
11. พริกไทยป่น
12. น้ำปลา
13. ผงชูรส
14. ถั่วงอก
15. ผักชี
16. กระทะ
17. ทัพพี
18. ตะหลิว
ต่อมาเป็นการทำน้ำอาจาด
น้ำต้มผสมกับน้ำตาลทรายและน้ำส้มสายชูและเกลือแกงนิดหน่อย ชิมน้ำให้รสชาติออเปรี้ยวหวาน
สำหรับขั้นตอนการทำขนมเบื้องญวนโบราณ
1. วิธีการผสมแป้ง นำแป้งข้าวเจ้านวดกับน้ำใช้เวลาพอประมาณให้เข้ากัน
2. ตีไข่กับแป้งพร้อมเครื่องปรุง
3. ตั้งกระทะให้ร้อนใช้ไฟปานกลาง
4. เอาแป้งร่อนใส่กระทะให้เป็นวงกลม
5. นำส่วนผสมใส่ทั้งหมดแล้วใช้เวลาพอประมาณโดยการสังเกตว่าแป้งสุกหรือยัง เมื่อสุกแล้วเอาขึ้นจากกระทะเพื่อให้น้ำมันสะเด็ดแล้วตักใส่จานหรือใส่ ใบตองก็ได้
สนใจรับการอบรม ติดต่อสอบถามที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงานจังหวัดนนทบุรี
ที่มา : เดลินิวส์
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อยากทาลิปสีแดง เลือกอย่างไรให้เหมาะกับคุณ
ผู้หญิงหลายคนอยากทาลิปสีแดง แต่ไม่กล้าเพราะรู้สึกว่าตัวเองสวยไม่พอ เซ็กซี่ไม่พอ แต่ที่จริงแล้วลิปสีแดงมีเฉดสีที่เมาะกับทุกคนเลย อยู่ที่ว่าคุณจะรู้จักเลือกหรือเปล่าเท่านั้นเอง
แดงชมพู
เฉดสีนี้เมาะสมกับผู้หญิงเกือบทุกสีผิว ทั้งขาวมากและคล้ำน้อยๆ ยกเว้นคนที่คล้ำจัดเป็นกาแฟไม่ใส่นมจริงๆ เท่านั้นที่คลต้องบาย วิธีทาให้สวยควรจะเขียนขอบปากก่อนด้วยสีแดงสด แล้วทาสีแดงชมพูลงไป อย่าลืมแต่งหน้าด้วยส่วนอื่นๆ ให้เฉดสีเข้ากันด้วย จะทำให้คุณดูหวานขึ้นอีกเยอะเลย
แดงแกมม่วง
สีแดงแกมม่วงให้อารมณ์ลึกลับ ท้าทาย แฝงความเซ็กซี่ สาวผิวคล้ำนิดๆ จะทาสีนี้ได้สวยที่สุดเวลาทาควรจะวาดขอบปากด้วยดินสอหรือลิปสติกสีแดงเข้ม ทาลิปสติกสีแดงเข้มลงไปก่อนแล้วค่อยทาลิปลอสสีแดงแกมม่วงทับอีกที จะได้เรียวปากที่สวยเย้ายวนสุดๆ
แดงเข้ม
สีแดงเข้มหรือแดงเพลิงจะเหมาะกับผู้หญิงที่มีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง ไม่ใช่สาวขี้อายชอบหลบหน้าหลบตา ส่วนเสื้อผ้าก็ต้องทันสมัยเข้ากันอย่างเดรสเปรี้ยวๆ หรือเซิ้ตขาว กางเกงยีนส์ ดูลุยแต่เท่ แต่ขอร้องอย่าใส่กระโปรงลูกไม้พลิ้วหวานคู่กับปากแดงเพลิงเป็นอันขาด คุณจะตกม้าตายๆได้ง่ายๆ
แดงสดใส
เป็นสีแดงที่ทำให้ดูสดชื่น ใสๆ ไม่เข้มจัดหรือร้อนแรงแบบสีแดงเพลิง แหมาะสำหรับจะเอาไว้ทากระซากวัยให้ดูเป็นสาววัยทีน คนผิวขาวจะทาสีนี้ได้สวยที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าต้องปัดแก้มด้วยสีชมพูระเรื่อคู่ไปด้วยนะ อย่าทาแต่ปากแต่ปล่อยหน้าให้ขาวซีด เพราะคุณจะกลายเป็นตัวประหลาดมีแต่ปากแดงเด่นลอยมาแต่ไกล
น้ำตาลประกายแดง
คนผิวสองสีที่อยากทาปากแดงบ้าง นี่คือสีคุณ! รับรองว่าทาแล้วไม่เหมือนอีกาคาบพริก แต่จะช่วยให้หน้าคุณ สว่างขึ้นไม่แดงจนเว่อร์ละไม่ซีดจนน่าเบื่อด้วย
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยาสาร Spicy
แดงชมพู
เฉดสีนี้เมาะสมกับผู้หญิงเกือบทุกสีผิว ทั้งขาวมากและคล้ำน้อยๆ ยกเว้นคนที่คล้ำจัดเป็นกาแฟไม่ใส่นมจริงๆ เท่านั้นที่คลต้องบาย วิธีทาให้สวยควรจะเขียนขอบปากก่อนด้วยสีแดงสด แล้วทาสีแดงชมพูลงไป อย่าลืมแต่งหน้าด้วยส่วนอื่นๆ ให้เฉดสีเข้ากันด้วย จะทำให้คุณดูหวานขึ้นอีกเยอะเลย
แดงแกมม่วง
สีแดงแกมม่วงให้อารมณ์ลึกลับ ท้าทาย แฝงความเซ็กซี่ สาวผิวคล้ำนิดๆ จะทาสีนี้ได้สวยที่สุดเวลาทาควรจะวาดขอบปากด้วยดินสอหรือลิปสติกสีแดงเข้ม ทาลิปสติกสีแดงเข้มลงไปก่อนแล้วค่อยทาลิปลอสสีแดงแกมม่วงทับอีกที จะได้เรียวปากที่สวยเย้ายวนสุดๆ
แดงเข้ม
สีแดงเข้มหรือแดงเพลิงจะเหมาะกับผู้หญิงที่มีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง ไม่ใช่สาวขี้อายชอบหลบหน้าหลบตา ส่วนเสื้อผ้าก็ต้องทันสมัยเข้ากันอย่างเดรสเปรี้ยวๆ หรือเซิ้ตขาว กางเกงยีนส์ ดูลุยแต่เท่ แต่ขอร้องอย่าใส่กระโปรงลูกไม้พลิ้วหวานคู่กับปากแดงเพลิงเป็นอันขาด คุณจะตกม้าตายๆได้ง่ายๆ
แดงสดใส
เป็นสีแดงที่ทำให้ดูสดชื่น ใสๆ ไม่เข้มจัดหรือร้อนแรงแบบสีแดงเพลิง แหมาะสำหรับจะเอาไว้ทากระซากวัยให้ดูเป็นสาววัยทีน คนผิวขาวจะทาสีนี้ได้สวยที่สุด แต่มีข้อแม้ว่าต้องปัดแก้มด้วยสีชมพูระเรื่อคู่ไปด้วยนะ อย่าทาแต่ปากแต่ปล่อยหน้าให้ขาวซีด เพราะคุณจะกลายเป็นตัวประหลาดมีแต่ปากแดงเด่นลอยมาแต่ไกล
น้ำตาลประกายแดง
คนผิวสองสีที่อยากทาปากแดงบ้าง นี่คือสีคุณ! รับรองว่าทาแล้วไม่เหมือนอีกาคาบพริก แต่จะช่วยให้หน้าคุณ สว่างขึ้นไม่แดงจนเว่อร์ละไม่ซีดจนน่าเบื่อด้วย
ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยาสาร Spicy
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สวย หล่อ ไม่ต้องรอชาติหน้า
บรรยากาศชิล ๆ แบบปลายฝนต้นหนาวกำลังจะผ่านไป เพราะนับแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ลมหนาวจะโชยความเย็นมาสัมผัสผิวกาย
พอลมหนาวมา ผิวหนังจะเป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโดยตรง ในบางท่านที่จะเลยการเอาใจใส่ต่อร่างกายตัวเอง ก็จะได้รับการเตือนจากผิวหนัง อาจจะเริ่มจากการ ′ตึง′ ′คัน′ และถึงขั้น
′ผิวแห้งและแตก′ ในที่สุด
เมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนเย็นลง ทำให้หลายท่านเกิดอาการขี้เกียจอาบน้ำก็ก่อเกิดปัญหาการหมักหมม สกปรกขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าจะสังเกตเห็นได้ว่า ขึ้นเม็ดหรือผดผื่นเกิดขึ้นมา หรือบางครั้งก็เกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขน
ส่วนการอาบน้ำอุ่นก็จะเป็นสาเหตุของการทำให้ผิวแห้งเป็นขุย
′โอภาส ณ ตะกั่วทุ่ง′ แนะนำไว้ในหนังสือ ′สวย-หล่อ ไม่ต้องรอชาติหน้า′ ว่าการดูแลรักษา ผิวพรรณในช่วงที่อากาศเย็น ก็ควรเริ่มดูแลกันที่ ′ผิวหน้า′ เป็นอันดับแรก
การทำความสะอาดผิวหน้าโดยใช้ ′ครีมล้างหน้า′ มาเป็นสิ่งทำความสะอาดในช่วงอากาศเย็นจะดีกว่า เพราะผิวหน้าเรานอกจากจะสะอาดแล้วยังไม่ต้องสูญเสียน้ำภายใต้ผิว อันเป็นสาเหตุของการแห้งตึงของผิวอีกด้วย
สำหรับการดูแลรักษาส่วนของผิวกาย ลำตัว แขนและขานั้น ให้ลองหาครีมบำรุงผิวที่ใช้สำหรับผิวกายมาทา แล้วใช้ฝ่ามือ คลึงฝ่ามือหมุนเป็นวงกลมพร้อมลูบไล้ไปช้า ๆ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้เนื้อครีมซึมหายไปภายใต้ผิว แล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างออก วิธีนี้อาจจะทำสองวันครั้งก็ได้ หรือท่านใดที่มีเวลามาก อาจจะทำทุกวัน วันละครั้งก็ได้
หรืออีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยเวลา ก็สามารถให้ความชุ่มชื้นกับผิวกายได้ในช่วงอาบน้ำ คือหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดน้ำที่เกาะติดลำตัวออก ก็ใช้เบบี้ออยล์เทลงฝ่ามือแล้วลูบลงไปให้ทั่วร่างในขณะที่ยังคงมี หยดน้ำเกาะติดอยู่ แล้วค่อยใช้ผ้าเช็ดตัวซับหยดน้ำนั้นออกให้แห้ง ก็เป็นอันใช้ได้ ผิวก็จะยังคงความชุ่มชื้นอยู่ ไม่แห้งแตก
ส่วนครีมบำรุงที่เลือกใช้นั้น ควรเลือกใช้ครีม ที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมเข้มข้นดีกว่าที่เป็นครีมน้ำนมเหลว เพราะเนื้อครีมข้นสามารถช่วยทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้นานกว่า
หลังทำความสะอาดผิวแล้ว ก่อนนอนควรใช้ครีมบำรุงสำหรับกลางคืนทาลงบนใบหน้า แล้วใช้นิ้วกลางกับนิ้วนางนวดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าให้ เนื้อครีมซึมลงสู่ภายใต้ผิว เพื่อคงความชุ่มชื้นจะทำให้ผิวสมบูรณ์แข็งแรง สามารถต้านทานแรงลมและความเย็นของอุณหภูมิที่ลดลงได้
และอีกประการหนึ่งที่สำคัญมาก คือ อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้อีกทางและอย่าลืมกินผักผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามินซี จะช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใสเป็็นยองใย ต้านความแห้งตึงที่มาพร้อมกับหน้าหนาวนี้ได้อย่างไม่หวั่น
ขอขอบคุณ ภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
พอลมหนาวมา ผิวหนังจะเป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโดยตรง ในบางท่านที่จะเลยการเอาใจใส่ต่อร่างกายตัวเอง ก็จะได้รับการเตือนจากผิวหนัง อาจจะเริ่มจากการ ′ตึง′ ′คัน′ และถึงขั้น
′ผิวแห้งและแตก′ ในที่สุด
เมื่ออากาศเริ่มเปลี่ยนเย็นลง ทำให้หลายท่านเกิดอาการขี้เกียจอาบน้ำก็ก่อเกิดปัญหาการหมักหมม สกปรกขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะใบหน้าจะสังเกตเห็นได้ว่า ขึ้นเม็ดหรือผดผื่นเกิดขึ้นมา หรือบางครั้งก็เกิดการอักเสบบริเวณรูขุมขน
ส่วนการอาบน้ำอุ่นก็จะเป็นสาเหตุของการทำให้ผิวแห้งเป็นขุย
′โอภาส ณ ตะกั่วทุ่ง′ แนะนำไว้ในหนังสือ ′สวย-หล่อ ไม่ต้องรอชาติหน้า′ ว่าการดูแลรักษา ผิวพรรณในช่วงที่อากาศเย็น ก็ควรเริ่มดูแลกันที่ ′ผิวหน้า′ เป็นอันดับแรก
การทำความสะอาดผิวหน้าโดยใช้ ′ครีมล้างหน้า′ มาเป็นสิ่งทำความสะอาดในช่วงอากาศเย็นจะดีกว่า เพราะผิวหน้าเรานอกจากจะสะอาดแล้วยังไม่ต้องสูญเสียน้ำภายใต้ผิว อันเป็นสาเหตุของการแห้งตึงของผิวอีกด้วย
สำหรับการดูแลรักษาส่วนของผิวกาย ลำตัว แขนและขานั้น ให้ลองหาครีมบำรุงผิวที่ใช้สำหรับผิวกายมาทา แล้วใช้ฝ่ามือ คลึงฝ่ามือหมุนเป็นวงกลมพร้อมลูบไล้ไปช้า ๆ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้เนื้อครีมซึมหายไปภายใต้ผิว แล้วปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างออก วิธีนี้อาจจะทำสองวันครั้งก็ได้ หรือท่านใดที่มีเวลามาก อาจจะทำทุกวัน วันละครั้งก็ได้
หรืออีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยเวลา ก็สามารถให้ความชุ่มชื้นกับผิวกายได้ในช่วงอาบน้ำ คือหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดน้ำที่เกาะติดลำตัวออก ก็ใช้เบบี้ออยล์เทลงฝ่ามือแล้วลูบลงไปให้ทั่วร่างในขณะที่ยังคงมี หยดน้ำเกาะติดอยู่ แล้วค่อยใช้ผ้าเช็ดตัวซับหยดน้ำนั้นออกให้แห้ง ก็เป็นอันใช้ได้ ผิวก็จะยังคงความชุ่มชื้นอยู่ ไม่แห้งแตก
ส่วนครีมบำรุงที่เลือกใช้นั้น ควรเลือกใช้ครีม ที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมเข้มข้นดีกว่าที่เป็นครีมน้ำนมเหลว เพราะเนื้อครีมข้นสามารถช่วยทำให้ผิวคงความชุ่มชื้นได้นานกว่า
หลังทำความสะอาดผิวแล้ว ก่อนนอนควรใช้ครีมบำรุงสำหรับกลางคืนทาลงบนใบหน้า แล้วใช้นิ้วกลางกับนิ้วนางนวดเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้าให้ เนื้อครีมซึมลงสู่ภายใต้ผิว เพื่อคงความชุ่มชื้นจะทำให้ผิวสมบูรณ์แข็งแรง สามารถต้านทานแรงลมและความเย็นของอุณหภูมิที่ลดลงได้
และอีกประการหนึ่งที่สำคัญมาก คือ อย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เป็นการเติมความชุ่มชื้นให้ผิวได้อีกทางและอย่าลืมกินผักผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามินซี จะช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใสเป็็นยองใย ต้านความแห้งตึงที่มาพร้อมกับหน้าหนาวนี้ได้อย่างไม่หวั่น
ขอขอบคุณ ภาพและข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เทคนิคพิชิตหน้าท้องแบนราบ
คนส่วนใหญ่เวลาน้ำหนักเพิ่มมันมีปัญหาหน้าท้องยื่น บางทีออกกำลังกายแทบตาย แขนขาเล็กเรียว แต่ลำตัวยังอวบอ้วนซ้ำยังมีหน้าท้อง วันนี้มีเทคนิคพิซิตหน้าท้องสวยแบบง่ายๆ มาฝาก
งานวิจัยนี้ให้ผู้หญิงวัย 20 กว่าปีปั่นจักยานเร็วๆ หนักๆ ต่อเนื่อง 4 นาที แล้วปั่นช้าๆ อีก 2 นาที จากนั้นกลับไปปั่นหนัก 4 นาที แล้วทำสลับกันไปแบบนี้ 10 รอบใช้เวลา 1 ชั่วโมง
พบว่าใน 2 สัปดาห์สามารรถเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ความเร็วปลานกลางต่อเนื่องไม่มีช่วงเร็วช่วงหนัก
ออกกำลังการเร่งสลายไขมัน
พอด้วยว่า การออกำลังกายที่ช่วยเร่งสลายไขมันได้แก่ การออกกำลังกายที่กล้ามเนื้อและกระดูกต้องรับน้ำหนัก เช่น การเดินเร็ว จ๊อกกิ้ง
ส่วนการฝึกโยคะและยกน้ำหนักเผาพลาญพลังงานได้มากกว่าการว่ายน้ำหรือขี่ จักรยาน ซึ่งสองอย่างนี้กล้ามเนื้อและกระดูกไม่ต้องรับน้ำหนักร่างกายมากนัก
1 ออกกำลังกายกระซับหน้าท้อง
เมื่ออกกำลังกายสลายไขมันทั่วร่างกายแล้ว ต้องออกำลังกายเพื่อกระซับกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป้นการซิตอัพโดยเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้านบน การนอนราบยกขายกสะโพกขึ้นโดยเกร็งกล้ามเนื้ยส่วนล่าง รวมถึงการนอนตะแคงแล้วยกลำตัวขึ้น โดยการเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้านข้าง
ที่ทำหลายท่าก็เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องทุกมัด จึงช่วยให้หน้าท้องแบนราบได้
การออกำลังการที่อาสัยการควบคุมลมหายใจเข้า-ออก ไปพร้อมๆกันเช่น โดยคะ ยังช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อและแผ่นหลังแข็งแรง ช่วยดึงรั้งให้ลำตัวตรง
คุมการกินไม่ให้รับพลังงานมากเกินไป
ระวังอาการจำพวกน้ำตาลและแป้งที่ผ่านการขัดสีหรือผ่านกระบวนการแปรรูป ทั้งขนมปัง เส้นพาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งล้วนมีผลกระตุ้นระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นทันที ทำร่างกายแปรคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันสะสมไว้ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
เลือกรับประทานธัญพืช คาร์โบไฮเดรต ที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป ทั้งข่าวกล้อง เผือก มัน และผัดต่างๆ
เลือกกินไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อลดการสะสมเพื่อลดการสะสมไขมันที่หน้าท้อง และยังช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง และยังช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล โดนเฉพาะไขมันจากปลาทะเลน้ำลึกที่เรียกว่า “โอเมก้า -3” ช่วยควบคุมระดับอินซูลินในเลือด ลดการสะสมไขมันส่วนเกิน และจำเป้นต่อร่างกายและการทำงานของระบบประสาทและการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ
ไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลสั่น (Mono-unsaturated Fat) ช่วยลดการสะสมไขมัน มีมากในถั่วต่างๆ ธัญพืช และอะโวคาโด แต่กินถั่วอย่าระมัดระวัง เพราะถั่วอบหรือถั่วทอด 1 ถ้วยตวงให้พลังงานมากกว่า 1,000 แคลลอรี
กินอาหารที่มีโปรตีนสูงธรรมชาติ ช่วยสลายไขมันและลดน้ำหนักได้เร็วกว่าคนที่กินคาร์โบไฮเดตรเป็นหลัก
นอนหลับเพียงพอและไม่เครียด
หากคุณนอนน้อยไป คือนอนน้อยกว่าวันล่ะ 6 ชั่วโมง หรือนอนมากไป คือเกินวันล่ะ 9 ชั่วโมง ร่างกายจะเกิดความเครียดและกระตุ้นการหลั่งฮอคอร์ติซอล เมื่อไหร่มีคอร์ติซอลร่างกายสูงไข่มันจะสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
ยิ่งอดนอน ยิ่งทำให้คอร์ติซอลสูง พุงยื่นมากขึ้น เพราะไขมันบริเวณหน้าท้องมีตัวจับคอร์ติซอลมากกว่าไขมันบริเวณอื่นๆ ถึง 4 เท่า คนที่มีความเครียดสูงหรือคนที่นอนหลับไม่ต่อเนืองกันนานๆ จะมีการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นหาวิธีผ่อนคลายความเครียด อาจใช้วิธีการนวดบำบัด นอนแช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที สามารถช่วยลดฮอร์โมนคอร์ซอลได้
3 วิธีง่ายๆ เหล่านี้ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวันและพฤติกรรม คุณก็สามารถเป้นเจ้าของหน้าท้องแบนลายได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณ นิตยสาร SHAPE
- ออกกำลังกาย
งานวิจัยนี้ให้ผู้หญิงวัย 20 กว่าปีปั่นจักยานเร็วๆ หนักๆ ต่อเนื่อง 4 นาที แล้วปั่นช้าๆ อีก 2 นาที จากนั้นกลับไปปั่นหนัก 4 นาที แล้วทำสลับกันไปแบบนี้ 10 รอบใช้เวลา 1 ชั่วโมง
พบว่าใน 2 สัปดาห์สามารรถเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซ็น เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้ความเร็วปลานกลางต่อเนื่องไม่มีช่วงเร็วช่วงหนัก
ออกกำลังการเร่งสลายไขมัน
พอด้วยว่า การออกำลังกายที่ช่วยเร่งสลายไขมันได้แก่ การออกกำลังกายที่กล้ามเนื้อและกระดูกต้องรับน้ำหนัก เช่น การเดินเร็ว จ๊อกกิ้ง
ส่วนการฝึกโยคะและยกน้ำหนักเผาพลาญพลังงานได้มากกว่าการว่ายน้ำหรือขี่ จักรยาน ซึ่งสองอย่างนี้กล้ามเนื้อและกระดูกไม่ต้องรับน้ำหนักร่างกายมากนัก
1 ออกกำลังกายกระซับหน้าท้อง
เมื่ออกกำลังกายสลายไขมันทั่วร่างกายแล้ว ต้องออกำลังกายเพื่อกระซับกล้ามเนื้อหน้าท้องโดยตรง ไม่ว่าจะเป้นการซิตอัพโดยเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้านบน การนอนราบยกขายกสะโพกขึ้นโดยเกร็งกล้ามเนื้ยส่วนล่าง รวมถึงการนอนตะแคงแล้วยกลำตัวขึ้น โดยการเกร็งกล้ามเนื้อท้องด้านข้าง
ที่ทำหลายท่าก็เพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าท้องทุกมัด จึงช่วยให้หน้าท้องแบนราบได้
การออกำลังการที่อาสัยการควบคุมลมหายใจเข้า-ออก ไปพร้อมๆกันเช่น โดยคะ ยังช่วยเสริมให้กล้ามเนื้อและแผ่นหลังแข็งแรง ช่วยดึงรั้งให้ลำตัวตรง
คุมการกินไม่ให้รับพลังงานมากเกินไป
ระวังอาการจำพวกน้ำตาลและแป้งที่ผ่านการขัดสีหรือผ่านกระบวนการแปรรูป ทั้งขนมปัง เส้นพาสต้า เส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งล้วนมีผลกระตุ้นระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้นทันที ทำร่างกายแปรคาร์โบไฮเดรตเป็นไขมันสะสมไว้ โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
เลือกรับประทานธัญพืช คาร์โบไฮเดรต ที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป ทั้งข่าวกล้อง เผือก มัน และผัดต่างๆ
เลือกกินไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อลดการสะสมเพื่อลดการสะสมไขมันที่หน้าท้อง และยังช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล โดยเฉพาะไขมันส่วนเกินที่หน้าท้อง และยังช่วยให้ฮอร์โมนสมดุล โดนเฉพาะไขมันจากปลาทะเลน้ำลึกที่เรียกว่า “โอเมก้า -3” ช่วยควบคุมระดับอินซูลินในเลือด ลดการสะสมไขมันส่วนเกิน และจำเป้นต่อร่างกายและการทำงานของระบบประสาทและการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ
ไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลสั่น (Mono-unsaturated Fat) ช่วยลดการสะสมไขมัน มีมากในถั่วต่างๆ ธัญพืช และอะโวคาโด แต่กินถั่วอย่าระมัดระวัง เพราะถั่วอบหรือถั่วทอด 1 ถ้วยตวงให้พลังงานมากกว่า 1,000 แคลลอรี
กินอาหารที่มีโปรตีนสูงธรรมชาติ ช่วยสลายไขมันและลดน้ำหนักได้เร็วกว่าคนที่กินคาร์โบไฮเดตรเป็นหลัก
นอนหลับเพียงพอและไม่เครียด
หากคุณนอนน้อยไป คือนอนน้อยกว่าวันล่ะ 6 ชั่วโมง หรือนอนมากไป คือเกินวันล่ะ 9 ชั่วโมง ร่างกายจะเกิดความเครียดและกระตุ้นการหลั่งฮอคอร์ติซอล เมื่อไหร่มีคอร์ติซอลร่างกายสูงไข่มันจะสะสมมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง
ยิ่งอดนอน ยิ่งทำให้คอร์ติซอลสูง พุงยื่นมากขึ้น เพราะไขมันบริเวณหน้าท้องมีตัวจับคอร์ติซอลมากกว่าไขมันบริเวณอื่นๆ ถึง 4 เท่า คนที่มีความเครียดสูงหรือคนที่นอนหลับไม่ต่อเนืองกันนานๆ จะมีการสะสมไขมันบริเวณหน้าท้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
ดังนั้นหาวิธีผ่อนคลายความเครียด อาจใช้วิธีการนวดบำบัด นอนแช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที สามารถช่วยลดฮอร์โมนคอร์ซอลได้
3 วิธีง่ายๆ เหล่านี้ ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกิจวัตรประจำวันและพฤติกรรม คุณก็สามารถเป้นเจ้าของหน้าท้องแบนลายได้ไม่ยาก
ขอขอบคุณ นิตยสาร SHAPE
ปราบ 8 สัญญาณคุกคามความอ่อนเยาว์
เผยจุดสังเกตเล็กๆ ที่บ่งบอกถึงวัยอันล่วงเลยซึ่งหลายคนมักมองข้าม พร้อมแนะนำเคล็ดลับเด็ดที่ช่วยคุณรับมือทุกปัญหาความงามที่มากับเลขอายุ
สัญญาณที่1 : คนตาขาดร่วงง่าย
การเจริญเติบโตของขนตาจะฉะลอตัวลงตามอายุที่มากขึ้น และสีก็จะอ่อนจนขนตาดูหร็อมเหร็ม ทำให้ดวงตาคุณไม่สดใส
วิธีรับมือ เคล็ดลับการมีขนตาดกหนาอย่างเร่งด่วนจี๋อยู่ที่การปัดมาสคารา ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเน้นเฉพาะส่วนปลายคนตา แต่วิธีที่ถูกคือ จับแปลงให้ขนานกับขนตา ปัดมาสคาราต่อเนื่องกัน 3 ครั้งอย่างรวดเร็วโดยเริ่มจาโคลนจรดปลาย
สัญญาณที่ 2 แก้มตอบ
ตอนเป็นเด็กหรือเป็นรุ่นสาว เราทุกคนมีพวงแก้มเปล่งปลั่งและอิ่มเอิบ แต่เดี๋ยวนี้กลับตรงกันข้าม เนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพลง
วิธีรับมือ หนึ่งในวิธีที่แนะนำคือ ใช้คลีมที่มีส่วนผสมของแปปไทค์ จะช่วยกระตุ้นการการผลิตคอลลาเจนได้ดี
สัญญาณที่ 3 เส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือ
คนส่วนใหญ่มักเสียมวลกล้ามเนื้อและไขมันตามวัยที่ล่วงเลย ประกอบไปด้วยผิวหนังบางลงเรื่อยๆ จึงทำให้เห็นเลือดปูดนูนขึ้นอย่างชัดเจน
วิธีรับมือ แสงแดดไม่เพียงทำให้เกิดจุดด่างดำแล้วยังดูดความซุ่มชื้นไปจากผิว เป็นสาเหตุให้เห็นเส้นเลือดได้ง่ายกว่าปกติ ควรใช้แฮนด์ครีมที่มีค่าเอสพีทุกครั้งหลังล้างมือ
สัญญาณที่ 4 ส้นเท้าแตกลอก
ส้นเท้าที่แห้ง แตกเป็นขุย ทำให้ดูแก่กร้าน แก้ไขด้วยการดูแลที่ถูกวิธี
วิธีรับมือ เพื่อผิวเนียนนุ่ม น่าสัมผัส ลองใช้คลีมที่มีส่วนผสมของเซียบัตเตอร์เพื่อที่จะลดความหยาบกระด้างของผิว บริเวณเท้าก่อนนอนทุกคืน
สัญญาณที่ 5 ผมยาวเกินไป
สไตลิสมืออาชีพแนะนำว่า พอเข้าวัย 40 ผมที่ยาวเกินระดับหน้าอกอาจทำให้ผิวพรรณที่เริ่มหย่อนคล้อยยิ่งดูโรยรา และลุคโดยรวมดูไม่สดใสอีกทั้งหนังศีรษะจะผลิตน้ำมันน้อยลง ส่งผลให้เส้นผมแห้งเสีย
วิธีรับมือ ตัดผมให้สั้นลงและไปพบช่างเพื่อดัดแปลงผมอยู่เสมอ และควรหมักผมสัปดาห์ละครั้ง
สัญญาณที่ 6 รองริ้วรอยข้างแก้ม
พวงแก้มที่คล้อยต่ำตามแรงไน้มถ่วงส่งผลให้เกิดรอยยับย่นบริเวณข้างปีกจมูกไปจนถึงมุมปาก
วิธีรับมือ ลองให้คลีมที่มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูโรนิก เพื่อเติมเต็มร่องล฿กให้ดูตื้นขึ้น
สัญญาณที่ 7 กระและจุดด่างดำ
คนที่มีกระมักจะดูสูวัยกว่าคนที่ไม่มี เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าผิวคุณโดนแสงแดดทำลายมาเป็นเวลานาน
วิธีรับมือ ปกป้องด้วยครีมกันแดดที่มีค่าพีเอฟเป็นอย่างต่ำ 15
สัญญาณที่ 8 สีของฟันไม่สม่ำเสมอกัน
เมื่ออายุมากขึ้น เคลือบฟังจะค่อยๆเสื่อมลง เป็นสาเหตุให้ฟันเหลือง เป็นคราบ และกร่อนได้
วิธีรับมือ ใช้แปลงสีฟันที่มีขนนุ่มเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เคลือบฟันถูกทำลาย และใช้ยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของซิลิกา (สารขัดฟัน) หากฟันคุณเหลืองจนรู้สึกไม่มั่นใจ ลองซื้อผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันมาใช้หรือปรึกษาทันตแพทย์
ขอขอบคุณ ที่มา จาก นิตยาสาร SHAPE
สัญญาณที่1 : คนตาขาดร่วงง่าย
การเจริญเติบโตของขนตาจะฉะลอตัวลงตามอายุที่มากขึ้น และสีก็จะอ่อนจนขนตาดูหร็อมเหร็ม ทำให้ดวงตาคุณไม่สดใส
วิธีรับมือ เคล็ดลับการมีขนตาดกหนาอย่างเร่งด่วนจี๋อยู่ที่การปัดมาสคารา ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเน้นเฉพาะส่วนปลายคนตา แต่วิธีที่ถูกคือ จับแปลงให้ขนานกับขนตา ปัดมาสคาราต่อเนื่องกัน 3 ครั้งอย่างรวดเร็วโดยเริ่มจาโคลนจรดปลาย
สัญญาณที่ 2 แก้มตอบ
ตอนเป็นเด็กหรือเป็นรุ่นสาว เราทุกคนมีพวงแก้มเปล่งปลั่งและอิ่มเอิบ แต่เดี๋ยวนี้กลับตรงกันข้าม เนื่องจากคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวเสื่อมสภาพลง
วิธีรับมือ หนึ่งในวิธีที่แนะนำคือ ใช้คลีมที่มีส่วนผสมของแปปไทค์ จะช่วยกระตุ้นการการผลิตคอลลาเจนได้ดี
สัญญาณที่ 3 เส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือ
คนส่วนใหญ่มักเสียมวลกล้ามเนื้อและไขมันตามวัยที่ล่วงเลย ประกอบไปด้วยผิวหนังบางลงเรื่อยๆ จึงทำให้เห็นเลือดปูดนูนขึ้นอย่างชัดเจน
วิธีรับมือ แสงแดดไม่เพียงทำให้เกิดจุดด่างดำแล้วยังดูดความซุ่มชื้นไปจากผิว เป็นสาเหตุให้เห็นเส้นเลือดได้ง่ายกว่าปกติ ควรใช้แฮนด์ครีมที่มีค่าเอสพีทุกครั้งหลังล้างมือ
สัญญาณที่ 4 ส้นเท้าแตกลอก
ส้นเท้าที่แห้ง แตกเป็นขุย ทำให้ดูแก่กร้าน แก้ไขด้วยการดูแลที่ถูกวิธี
วิธีรับมือ เพื่อผิวเนียนนุ่ม น่าสัมผัส ลองใช้คลีมที่มีส่วนผสมของเซียบัตเตอร์เพื่อที่จะลดความหยาบกระด้างของผิว บริเวณเท้าก่อนนอนทุกคืน
สัญญาณที่ 5 ผมยาวเกินไป
สไตลิสมืออาชีพแนะนำว่า พอเข้าวัย 40 ผมที่ยาวเกินระดับหน้าอกอาจทำให้ผิวพรรณที่เริ่มหย่อนคล้อยยิ่งดูโรยรา และลุคโดยรวมดูไม่สดใสอีกทั้งหนังศีรษะจะผลิตน้ำมันน้อยลง ส่งผลให้เส้นผมแห้งเสีย
วิธีรับมือ ตัดผมให้สั้นลงและไปพบช่างเพื่อดัดแปลงผมอยู่เสมอ และควรหมักผมสัปดาห์ละครั้ง
สัญญาณที่ 6 รองริ้วรอยข้างแก้ม
พวงแก้มที่คล้อยต่ำตามแรงไน้มถ่วงส่งผลให้เกิดรอยยับย่นบริเวณข้างปีกจมูกไปจนถึงมุมปาก
วิธีรับมือ ลองให้คลีมที่มีส่วนผสมของ กรดไฮยาลูโรนิก เพื่อเติมเต็มร่องล฿กให้ดูตื้นขึ้น
สัญญาณที่ 7 กระและจุดด่างดำ
คนที่มีกระมักจะดูสูวัยกว่าคนที่ไม่มี เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าผิวคุณโดนแสงแดดทำลายมาเป็นเวลานาน
วิธีรับมือ ปกป้องด้วยครีมกันแดดที่มีค่าพีเอฟเป็นอย่างต่ำ 15
สัญญาณที่ 8 สีของฟันไม่สม่ำเสมอกัน
เมื่ออายุมากขึ้น เคลือบฟังจะค่อยๆเสื่อมลง เป็นสาเหตุให้ฟันเหลือง เป็นคราบ และกร่อนได้
วิธีรับมือ ใช้แปลงสีฟันที่มีขนนุ่มเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เคลือบฟันถูกทำลาย และใช้ยาสีฟันที่ไม่มีส่วนผสมของซิลิกา (สารขัดฟัน) หากฟันคุณเหลืองจนรู้สึกไม่มั่นใจ ลองซื้อผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันมาใช้หรือปรึกษาทันตแพทย์
ขอขอบคุณ ที่มา จาก นิตยาสาร SHAPE
หุ่นสวยด้วยเคล็ดลับแดนปลาดิบ
เคยลองคิดเล่นๆไหมว่า ทำไม้..ทำไมสาวๆญี่ปุ่นถึงมีรูปร่างสะโอดสะองและรักษาความน่ารักสดใสไว้ได้ เสมออาจเป็นเพราะวิวัฒนาการและเทคโนโลยีของเขาที่ทันสมัยและก้าวหน้าเหนือ ใครๆ แต่ก็ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่ได้ซับซ้อนและยากเกินกว่าที่เราจะลองปฏิบัติ ได้นั่นคือความพิถีพิถันในการรับประทานอาหารในแต่ละวันของคนญี่ปุ่น
เริ่มจากการใช้ถ้วยใส่ข้าว และเลือกใช้สีแนวเอิร์ธโทนคือสี ขาว ดำ และเทา ที่ช่วยทำให้รู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นซึ่งเทคนิคสำคัญก็คือการเลือกใช้ถ้วย ขนาดเล็ก เพราะเมื่อเราเห็นว่ามีอาหารเต็มถ้วย แม้จะถ้วยเล็กกว่าปกติ แต่ช่วยสร้างจิตวิทยาให้รู้สึกอิ่มมากขึ้นนอกจากนี้ การใช้ตะเกียบกินข้าวจะทำให้คุณกินข้าวช้าลงและกินได้ปริมาณน้อยลง เนื่องจากสมองจะรับรู้ความรู้สึกอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณ 10 นาที สุดท้ายคือความหลากหลายของพลังงานที่มาจากอาหารหลายประเภท จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลาเพราะร่างกายจะคิดว่ามีอาหารชนิด ใหม่เข้าสู่ร่างกายเรื่อยๆ ดังนั้น อย่าตักกับข้าวมาคลุกรวมกันไว้ในชามทีเดียวให้ค่อยๆ ตักทีละคำมาใส่ชามไม่เช่นนั้นคุณคงต้องอ้วนเท่าชามใบยักษ์ที่กินแน่ๆ
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa
เริ่มจากการใช้ถ้วยใส่ข้าว และเลือกใช้สีแนวเอิร์ธโทนคือสี ขาว ดำ และเทา ที่ช่วยทำให้รู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นซึ่งเทคนิคสำคัญก็คือการเลือกใช้ถ้วย ขนาดเล็ก เพราะเมื่อเราเห็นว่ามีอาหารเต็มถ้วย แม้จะถ้วยเล็กกว่าปกติ แต่ช่วยสร้างจิตวิทยาให้รู้สึกอิ่มมากขึ้นนอกจากนี้ การใช้ตะเกียบกินข้าวจะทำให้คุณกินข้าวช้าลงและกินได้ปริมาณน้อยลง เนื่องจากสมองจะรับรู้ความรู้สึกอิ่มหลังจากที่ร่างกายอิ่มไปแล้วประมาณ 10 นาที สุดท้ายคือความหลากหลายของพลังงานที่มาจากอาหารหลายประเภท จะช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานตลอดเวลาเพราะร่างกายจะคิดว่ามีอาหารชนิด ใหม่เข้าสู่ร่างกายเรื่อยๆ ดังนั้น อย่าตักกับข้าวมาคลุกรวมกันไว้ในชามทีเดียวให้ค่อยๆ ตักทีละคำมาใส่ชามไม่เช่นนั้นคุณคงต้องอ้วนเท่าชามใบยักษ์ที่กินแน่ๆ
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa
วิธีการดูแลรักษาเล็บ
วิธีการดูแลรักษาเล็บ
วิธีการดูแลรักษาเล็บนั้นไม่ใช้เรื่องยากมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
1.การดูแลเล็บโดยการล้างเล็บทำความสะอาดเล็บ
ควรล้างเล็บด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ ใช้แปลงนุ่มๆขัดตามซอกเล็บเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำที่สะอาด ชโลมด้วยคลีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้มือและเล็บ
2.การตัดเล็บมือที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง
ควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้านั้นพยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด เพื่อลดการสะสมของความสกปรกตามศอกเล็บและโอกาสเกิดเล็บขบ ไม่ควรที่จะตัดสั้นจนชิดเนื้อมากเกินไป และไม่ควรใช้วัสดุใดๆ แงะงัดขอบเล็บ จมูกเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผลและการอักเสบได้ และเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บคือหลังจากอาบน้ำหรือล้างจาน เพราะเล็บจะมีความอ่อนนุ่ม ทำให้ง่ายต่อการตัดแต่ง แต่ถ้าหากไม่รอหลังอาบน้ำก็ให้แช่เล็บในน้ำอุ่นประมาณ 5 นาทีก่อนตัดครับ
3.วิธีตะไปเล็บให้สวย
ถ้าหากใช้ตะไปเล็บที่ทำจาดเหล็ก ควรตะไปเล็บไปในทิศทางเดียวกันไม่ควรถูกลับไปกลับมา เพราะจะทำให้เล็บเป็นเสี้ยนคมหรือฉีกได้ แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเซลามิกก็สามารถตะไปสวนทางกันได้ นอกจากนี้การตะไปเล็บควรตะไปจากขอบเล็บเข้าหาปลายเล็บเสมอ
4.การขูดผิวเล็บ
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการพลัดเซลล์ผิว ทำให้เล็บเงางามขึ้น ผิวเล็บเรียบและดูมีสุขภาพดีขึ้น โดยให้ใช้อุปกรณ์ขูดลอกหน้าเล็บดันจากปลายเล็บเข้าหาโคนเล็บ หลังจากนั้นใช้แผ่นขัดเล็บซึ่งคล้ายกับกระดาษทรายขัดหน้าเล็บเบาๆ เพื่อให้ผิวเล็บเรียบสม่ำเสมอ แล้วใช้แผ่นขัดทำความสะอาดเล็บถูเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นละอองและเศษเล็บที่มองไม่เห็นหลุดออกไป จากนั้นใช้แผ่นขัดเงาซึ่งมีเมลาตินเคลือบ อยู่ขัดถูบนหน้าเล็บบางๆ ก็จะได้เล็บที่เงางามดูมุขภาพดี
5.การับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การับประทานอาหารนั้นเป็นการรักษาเล็บจากภายในเอง เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรคำนึงถึง การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมนั้นช่วยให้เล็บของเราแข็งแรง และการที่เรารับประทานอาหารผักผลไม้เยอะนั้น จะทำให้เล็บเรามีสีชมพู ดูแลมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงด้วย
ที่มา : นิตยสาร SPICY
วิธีการดูแลรักษาเล็บนั้นไม่ใช้เรื่องยากมีเคล็ดลับดังต่อไปนี้
1.การดูแลเล็บโดยการล้างเล็บทำความสะอาดเล็บ
ควรล้างเล็บด้วยน้ำสบู่อุ่นๆ ใช้แปลงนุ่มๆขัดตามซอกเล็บเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำที่สะอาด ชโลมด้วยคลีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้มือและเล็บ
2.การตัดเล็บมือที่ถูกต้องก็เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง
ควรตัดให้มีความโค้งมนไปตามนิ้วมือ ส่วนเล็บเท้านั้นพยายามตัดให้เป็นเส้นตรงมากที่สุด เพื่อลดการสะสมของความสกปรกตามศอกเล็บและโอกาสเกิดเล็บขบ ไม่ควรที่จะตัดสั้นจนชิดเนื้อมากเกินไป และไม่ควรใช้วัสดุใดๆ แงะงัดขอบเล็บ จมูกเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผลและการอักเสบได้ และเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บคือหลังจากอาบน้ำหรือล้างจาน เพราะเล็บจะมีความอ่อนนุ่ม ทำให้ง่ายต่อการตัดแต่ง แต่ถ้าหากไม่รอหลังอาบน้ำก็ให้แช่เล็บในน้ำอุ่นประมาณ 5 นาทีก่อนตัดครับ
3.วิธีตะไปเล็บให้สวย
ถ้าหากใช้ตะไปเล็บที่ทำจาดเหล็ก ควรตะไปเล็บไปในทิศทางเดียวกันไม่ควรถูกลับไปกลับมา เพราะจะทำให้เล็บเป็นเสี้ยนคมหรือฉีกได้ แต่ถ้าใช้ตะไบเล็บที่ทำจากเซลามิกก็สามารถตะไปสวนทางกันได้ นอกจากนี้การตะไปเล็บควรตะไปจากขอบเล็บเข้าหาปลายเล็บเสมอ
4.การขูดผิวเล็บ
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เกิดการกระตุ้นให้เกิดการพลัดเซลล์ผิว ทำให้เล็บเงางามขึ้น ผิวเล็บเรียบและดูมีสุขภาพดีขึ้น โดยให้ใช้อุปกรณ์ขูดลอกหน้าเล็บดันจากปลายเล็บเข้าหาโคนเล็บ หลังจากนั้นใช้แผ่นขัดเล็บซึ่งคล้ายกับกระดาษทรายขัดหน้าเล็บเบาๆ เพื่อให้ผิวเล็บเรียบสม่ำเสมอ แล้วใช้แผ่นขัดทำความสะอาดเล็บถูเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นละอองและเศษเล็บที่มองไม่เห็นหลุดออกไป จากนั้นใช้แผ่นขัดเงาซึ่งมีเมลาตินเคลือบ อยู่ขัดถูบนหน้าเล็บบางๆ ก็จะได้เล็บที่เงางามดูมุขภาพดี
5.การับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การับประทานอาหารนั้นเป็นการรักษาเล็บจากภายในเอง เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนควรคำนึงถึง การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมนั้นช่วยให้เล็บของเราแข็งแรง และการที่เรารับประทานอาหารผักผลไม้เยอะนั้น จะทำให้เล็บเรามีสีชมพู ดูแลมีสุขภาพที่ดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะทำให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงด้วย
ที่มา : นิตยสาร SPICY
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เสริมสวยด้วยเลเชอร์
รู้จักเลดซอร์ความงามสารพัดชนิด พร้อมข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากสวยในเวลาเร่งรัด
เลเซอร์เป็นการใช้พลังงานของคลื่นแม่แสงที่มีความเข้มข้นสูงในบางช่วง เมื่อ 50 ปั้แล้ว แพทย์ผิวหนังชาวอเมริกาได้เริ่มนำแสงเลเซอร์มาใช้ในการตัอไฟและจี้เนื้องอก ที่ผิวหนังสำเร็จเป็นครั้งแรกจนกระทั่งในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยี เลเซอร์หลากหลายชนิดให้เลือกรับการรักาตามความต้องการดังนี้
เลเซอร์กระ – ไฝ มักใช้คาร์บอนไซด์เลเซอร์ ซึ่งจะสลายเซลล์ผิวหนังออกไปเป้นควัน ใช้จีไฝ กระติ่งเนื้อ และรักษาหูด
เลเซอร์ Rejuvenation เป็นพลังงานคลื่นแสงที่ลงไปในผิวหนังระดับตื้น ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังแข็งแรง ไม่เกิดรอยเหี่ยวย่น ช่วยกระซับรูขุมขน ควรทำตั้งอายุ 30 ปี เพื่อให้ผิวแข็งแรง เต่งตึงอยู่เสมอเลเซอร์ชนิดนี้ไม่ทำให้เกิดแผล ทำเสร็จแล้วสามารถแต่งหน้าได้ทันที
เลเวอร์หน้าใส มัก ใช้เครื่อมมือที่เรียกว่า IPL (Intense Pulse Light) มีคุณสมบัติ ช่วยกระซับรุขุมขน แก้ปัยหาริ้วรอยเล็กๆ และมีผลให้เซลล์สีผิวทกงานน้อยลง ผิวจึงดุผ่องใสขึ้น กระ เฝ้าดูจางลง
มีข้อควรระวังคือ เครื่อง IPL มีหลายหลายประเภทตั้งแต่ราคาถูก ไปจนถึงเทคโนโลยี Advanced IPL ของอเมริกาที่ราคาเครื่องละหลายล้านบาท ซึ่งหมายถึงใช้ได้กับคนผิวขาวจนถึงผิวค้ำโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวไหม้
เลเซอร์กำจัดขน มักไม่ได้ผลถาวรในครั้งเดียว ต้องทำซ้ำตั้งแต่ 3 – 5 ครั้ง หลังทำจำนวนขนจะน้อยลง เส้นบางลงและยาวช้าลง เลเซอรืชนิดนี้ปกติไม่ทำให้เกิดรอยดำ แต่ต้องทำดดยผู้เชียวชาญ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาผิวไหม้จากแสงเลเซอร์กลายเป็นรอยด่างดำไปอีกหลายเดือน
เลเซอร์ขัดผิว ใช้รักษาหลุมแผลเป็นขนาดใหญ่และริ้วรอยเหี่ยวย่น เลเวอรืขัดผิวบางชนิดอ จทำให้เกิดผิวไหม้ ด่างเป้นบั้งๆ เหมือนทางม้าลาย จึงควรเลือกชนิดที่มีคุณภาพดี
เลเซอร์ Face Lift ใช้ในการยกระซับผิว กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในส่วนลึก บางครั้งอาจใช้เลื่นวิทยุลงไปลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ แต่ต้องทำซ้ำกัน 3 – 5 ครั้งถึงจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ว่าจะเลือกทำเลเซอร์ชนิดไหน ต้องปรึกษาแพทยืให้แน่ใจว่า มีเครื่องมือที่เหมาะสมกับปัญหาผิวพรรณของเราจริงๆ ที่สำคัญ ผู้ใช้เครื่องมือทำเลเซอร์ให้ผิวหน้านั้นต้องเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงจะ ปลอดภัยและได้ผลแน่นอน
เรื่องโดย แพทย์หญิงพิไล ทวีสิน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงาม จาก วารสาร SHAPE (หน้า 26)
เลเซอร์เป็นการใช้พลังงานของคลื่นแม่แสงที่มีความเข้มข้นสูงในบางช่วง เมื่อ 50 ปั้แล้ว แพทย์ผิวหนังชาวอเมริกาได้เริ่มนำแสงเลเซอร์มาใช้ในการตัอไฟและจี้เนื้องอก ที่ผิวหนังสำเร็จเป็นครั้งแรกจนกระทั่งในปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยี เลเซอร์หลากหลายชนิดให้เลือกรับการรักาตามความต้องการดังนี้
เลเซอร์กระ – ไฝ มักใช้คาร์บอนไซด์เลเซอร์ ซึ่งจะสลายเซลล์ผิวหนังออกไปเป้นควัน ใช้จีไฝ กระติ่งเนื้อ และรักษาหูด
เลเซอร์ Rejuvenation เป็นพลังงานคลื่นแสงที่ลงไปในผิวหนังระดับตื้น ช่วยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหนังแข็งแรง ไม่เกิดรอยเหี่ยวย่น ช่วยกระซับรูขุมขน ควรทำตั้งอายุ 30 ปี เพื่อให้ผิวแข็งแรง เต่งตึงอยู่เสมอเลเซอร์ชนิดนี้ไม่ทำให้เกิดแผล ทำเสร็จแล้วสามารถแต่งหน้าได้ทันที
เลเวอร์หน้าใส มัก ใช้เครื่อมมือที่เรียกว่า IPL (Intense Pulse Light) มีคุณสมบัติ ช่วยกระซับรุขุมขน แก้ปัยหาริ้วรอยเล็กๆ และมีผลให้เซลล์สีผิวทกงานน้อยลง ผิวจึงดุผ่องใสขึ้น กระ เฝ้าดูจางลง
มีข้อควรระวังคือ เครื่อง IPL มีหลายหลายประเภทตั้งแต่ราคาถูก ไปจนถึงเทคโนโลยี Advanced IPL ของอเมริกาที่ราคาเครื่องละหลายล้านบาท ซึ่งหมายถึงใช้ได้กับคนผิวขาวจนถึงผิวค้ำโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวไหม้
เลเซอร์กำจัดขน มักไม่ได้ผลถาวรในครั้งเดียว ต้องทำซ้ำตั้งแต่ 3 – 5 ครั้ง หลังทำจำนวนขนจะน้อยลง เส้นบางลงและยาวช้าลง เลเซอรืชนิดนี้ปกติไม่ทำให้เกิดรอยดำ แต่ต้องทำดดยผู้เชียวชาญ มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาผิวไหม้จากแสงเลเซอร์กลายเป็นรอยด่างดำไปอีกหลายเดือน
เลเซอร์ขัดผิว ใช้รักษาหลุมแผลเป็นขนาดใหญ่และริ้วรอยเหี่ยวย่น เลเวอรืขัดผิวบางชนิดอ จทำให้เกิดผิวไหม้ ด่างเป้นบั้งๆ เหมือนทางม้าลาย จึงควรเลือกชนิดที่มีคุณภาพดี
เลเซอร์ Face Lift ใช้ในการยกระซับผิว กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินในส่วนลึก บางครั้งอาจใช้เลื่นวิทยุลงไปลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ แต่ต้องทำซ้ำกัน 3 – 5 ครั้งถึงจะเห็นผลระยะยาว
ไม่ว่าจะเลือกทำเลเซอร์ชนิดไหน ต้องปรึกษาแพทยืให้แน่ใจว่า มีเครื่องมือที่เหมาะสมกับปัญหาผิวพรรณของเราจริงๆ ที่สำคัญ ผู้ใช้เครื่องมือทำเลเซอร์ให้ผิวหน้านั้นต้องเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์จึงจะ ปลอดภัยและได้ผลแน่นอน
เรื่องโดย แพทย์หญิงพิไล ทวีสิน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและความงาม จาก วารสาร SHAPE (หน้า 26)
5 สุดยอดอาหารบำรุงผม
ผมสวยสุขภาพดีอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากการหมัก สระ หรือบำรุงผมเพียงอย่างเดียว จุดเริ่มต้นของผมสวยอย่างแท้จริงนั้นต้องเริ่มต้นจากอาหารที่เรากินลงไปด้วย ในแต่ละวัน อลการวิจัยล่าสุดของสถาบัน Cosmetic Dematology พบว่า อาหารบำรุงผม 5 ชนิด คอื แซลมอน ผักสีเขียว ถั่วเปลือแข็ง ไข่ โฮลเกรน ซึ่งอุดมด้วนแอลฟา – ไลโนเลนิก โอเมก้า – 3 ธาตุเหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12 ช่วยให้สภาพผมของกลุ่มทกลอง 100 คนที่กินอาหารดังกล่าวเป็นระยะเวลา 2 ปีมีปัญหาผมหงอก แตกปลาย และผม แห้งน้อยกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ในมื้ออาหารถัดไปคุณจึงควรจัดเมนูที่อุดมด้วยอาการเหล่าน้เพื่อปูทางสุขภาพ ผมได้ดีไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ที่มา : ข้อมูล : HEALTH & CUISINE
ที่มา : ข้อมูล : HEALTH & CUISINE
ครีมหมักผมสูตรแตงกวา ฟื้นฟูผมเสีย
แตงกวาลูกสีเขียวอ่อนเป็นผักที่หลายบ้านมักมีติดครัวไว้เสมอนอกจากจะ ติดใจรสชาติและความกรอบอร่อยแล้วสาวๆ ทุกชาติทุกภาษายังรู้จักนำแตงกวามาใช้ในเรื่องความสวยความงามกันด้วย
แตงกวาดีต่อเส้นผมเพราะอุดมไปด้วยซิลิคอนและซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยบำรุงให้นุ่มสลวย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักการว่ายน้ำ ที่ต้องตามแก้ปัญหาผมแห้งเสียหยาบกระด้างจากคลอรีน
ครีมหมักผมสูตรนี้นอกจากแตงกวาแล้ว ยังมีโปรตีนจากไข่เสริมทัพให้เส้นผมแข็งแรง แก้ปัยหาเส้นผมเปราะขาดง่าย และมีวิตามินอีจากน้ำมันมะกอกช่วยคืนความชุ่มชื้น
แล้วผมเสียก็กลายเป็นผมสวยได้ง่ายๆ ด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ
ส่วนผสม
– แตงกวาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ถ้วย
– ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน
2. สระผมให้สะอาดโดยไม่ต้องใช้แชมพู
3. พอกส่วนผสมให้ทั่ว เน้นบริเวณปลายผมเป็นพิเศษทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นสระผมให้สะอาด ทำเดือนละครั้ง
ที่มา : นิตยสาร ชีวจิต
แตงกวาดีต่อเส้นผมเพราะอุดมไปด้วยซิลิคอนและซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยบำรุงให้นุ่มสลวย เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักการว่ายน้ำ ที่ต้องตามแก้ปัญหาผมแห้งเสียหยาบกระด้างจากคลอรีน
ครีมหมักผมสูตรนี้นอกจากแตงกวาแล้ว ยังมีโปรตีนจากไข่เสริมทัพให้เส้นผมแข็งแรง แก้ปัยหาเส้นผมเปราะขาดง่าย และมีวิตามินอีจากน้ำมันมะกอกช่วยคืนความชุ่มชื้น
แล้วผมเสียก็กลายเป็นผมสวยได้ง่ายๆ ด้วยคุณค่าจากธรรมชาติ
ส่วนผสม
– แตงกวาปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 1 ถ้วย
– ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน
2. สระผมให้สะอาดโดยไม่ต้องใช้แชมพู
3. พอกส่วนผสมให้ทั่ว เน้นบริเวณปลายผมเป็นพิเศษทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นสระผมให้สะอาด ทำเดือนละครั้ง
ที่มา : นิตยสาร ชีวจิต
สูตรสวยตามสภาพผิว
ผลไม้เป็นเครื่องสำอางเติมสวยให้เราได้ทุกชนิด แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกผลไม้ที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าของคุร
ผิวหน้าหยาบกร้าน
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะละกอ
วิธีทำ มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ ½ ช่อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ผิวแห้ง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : แตงกวา
วิธีทำ แตงกวาปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก
ผิวเป็นสิว
ผลไม้ที่คุณต้องการ : ขมิ้น
วิธีทำ ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และโยเกร์ต 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
เป็นฝ้าและจุดด่างดำ
ผลไม้ที่คุณต้องการ : หัวไชเท้า
วิธีทำ ปั่นหัวไช่เท้าให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
รูขุมขนกว้าง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะเขือเทศ
วิธีทำ มะเขือปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างล่ะ 1 ช้อนชา พอกทิ้วไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ที่มา : นิตยสาร SPICY
ผิวหน้าหยาบกร้าน
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะละกอ
วิธีทำ มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ ½ ช่อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ผิวแห้ง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : แตงกวา
วิธีทำ แตงกวาปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15 – 20 นาทีแล้วล้างออก
ผิวเป็นสิว
ผลไม้ที่คุณต้องการ : ขมิ้น
วิธีทำ ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา และโยเกร์ต 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
เป็นฝ้าและจุดด่างดำ
ผลไม้ที่คุณต้องการ : หัวไชเท้า
วิธีทำ ปั่นหัวไช่เท้าให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ½ ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
รูขุมขนกว้าง
ผลไม้ที่คุณต้องการ : มะเขือเทศ
วิธีทำ มะเขือปั่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างล่ะ 1 ช้อนชา พอกทิ้วไว้ 20 นาที แล้วล้างออก
ที่มา : นิตยสาร SPICY
เสริมจมูกปลูกย้ายไขมัน
ก้าวไปอีกขั้นในวงการศัลยกรรมตกแต่ง และเป็นส่วนที่นิยมทำกันมากซะด้วย ก็คือ จมูก การเสริมจมูกนิยมเสริมดั้งโดยมาก เพราะคนไทยเรามีลักษณะพันธุกรรมเป็นมาอย่างนี้ แต่ความรู้สึกว่า คนสวย หล่อ หน้าตาดี ต้องดั้งสวย ได้รูป พอเหมาะกับโครงสร้างหน้า โดยการเสริมจมูกนั้น จากสมัยก่อนฉีดของเหลวเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นซิลิโคนเหลว ไขมัน ฯลฯ ซึ่งก้เกิดปัญหามากมาย ทั้งไม่ได้รูปทรงที่คงตัว เกิดปัญหาเน่าพัง จนมาเกิดซิลิโคนแข็งก้เป็นที่นิยม ปลอดภัย แต่ก็ยังมีข้อติบ้าง ที่ดูแข็งกระด้างผิดธรรมชาติ หรือแท่งซิลิโคนเล็กๆ นั้นเกิดโผล่ขึ้นมาเสมอผิวหนังจนมองเห็นร่องรอย หรือหนักกว่านั้นทะลุผิวออมาอวดโฉมความลับซะเลย
ล่าสุด ศัลยแพทย์ตกแต่งไทยได้คิดค้นการเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน (Graft) ขึ้นมาป้องกันวัสดุแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย แต่เป็นไขมันส่วนหน้าท้องของเจ้าตัวนั่นเอง ที่ให้ความลงตัว ไม่ไหลย้อย เสียรูปทรงศัลยแพทย์ผู้นั้นคือ นายแพทย์ชลธิศ สินรัชดานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย
สำหรับความพยายามของแพทยืไทยในการคิดค้นวัสดุธรรมชาติเพื่อเสริมจมูกนั้น ที่ผ่านมามีการนำกระดูกอ่อน จากบริเวณ หรือบริเวณซี่โครงมาใช้จนเป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาง่าย ไม่มีผลกระทบต่อการทำ แต่กลับไม่เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบัน เนื่องจากมีความยุ่งยากซับช้อนมากกว่า
จึงมีการหันไปหาวัสดุยอกนิยมจนมีการนำมาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือ ซิลิโคนซึ่งมีหลากหลายชนิด โดยแต่ละชนิดยังให้คุณสมบัติที่แตกต่างกันไปด้วย อาทิ ซิลิโคนแบบแข็ง ต้นทุนจะต่ำ ข้อดีคือ ตัดแต่งรูปทรงได้ง่าย แต่เมื่อใช้กับร่างกายก็ส่งผลให้ทะลุได้ง่ายและมีปัญหาต่อเนื่องตามมา
ส่วนซิลิโคนแบบอ่อน มีความยืดหยุ่นสูง แต่กลับตัดแต่งรูปทรงได้ยาก ซิลิโคนที่ให้ประสิธิภาพดีที่สุดสำหรับงานศัลยกรรมคือ ซิลิโคนที่มีความแข็งปลานกลาง เพราะมีความยืดหยุ่นสูงดูเป็นธรรมชาติ และจัดแต่งรูปทรงได้ง่าย ซิลิโคนประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมต่อการศัลยกรรม
ศัลยกรรมเพื่อบุคลิกภาพที่ดี
คุณภาพชลธิศ กล่าวว่า
“ปัจจุบันนี้ การเสริมจมูกมีทั้งหมด 3 อย่างคือ ใช้ซิลิโคน กนะดูกอ่อน และเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของจมุกคนไข้ว่ามีโครงสร้างอย่างไร (ใหญ่ เล็ก หนังมาก กระดูกใหญ่ ฯลฯ ) และดุลพินิจของแพทย์ แต่ตอนนี้การใช้เนื้อเยื่อไขมันเป็นเหมือนวิวัฒนาการใหม่ของวงการศัลยกรรม จมูก
จมูกที่มีปัญหา คือ มันเสียรูปทรงไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากหมอเถื่อน ที่ทำแล้วออกมาไท้ดี แย่ยิ่งกว่าเดิม หรือทำว่าอาจเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งการใช้ซิลิโคน หรือกระดูกอ่อนเข้ามาข่วย บางทีอาจไม่ได้รูปทรกที่ต้องการ
ย้านไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เราก็ได้มีการเอาเนื้อเยื่อร่างกายมาปลูกถ่ายเพื่อจะซ่อมอซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเราไช่ไขมันเป็นหลัก ซึ่งจริงๆ แล้วได้มีการนำไขมันมาใช้กว่า 100 ปีแล้ว โดยนำไปปลูกถ่ายในอวัยวะต่างๆทั้งในส่วนของ หู คอ จมูก เช่น ใช้ในโพรงหู โครงไซนัสหรือฉีดไปในกล่องเสียง เป็นต้น
แต่การที่เรานำมาใช่ในโพรงจมูก ซึ่งธรรมชาติของไขมันนั้น มันจะมาปลูกที่จมูกนั้นจะติดได้ยากมาก ไม่เหมือนกับการนำไปปลุกถ่ายที่คาง แก้ม และไวนัสหรือที่อื่นๆ ซึ่งส่วนเหล่านี้ไขมันจะติดง่าย”
วงการแพทย์พยายามนำไขมันมาปลูกถ่ายรักษาจมูก
“ปัญหาการทำไขมันมาศัลยกรรมจมูกนี้ได้มีความพยายามแก้ไขเรื่อยมา เช่นทางคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มให้การรักษาที่ได้รับอุบัติเหตุ กลุ่มคนไข้ที่จมูกบูดเบี้ยวมาตั้งแต่เกิด หรือกลุ่มที่ไปรับการผ่าตัดจมูกมาแล้วเกิดอาการผิดปกติ เช่น กระดูกทรุดไม่สามารถใช้ซิลิโคนช่วยได้แล้ว ลางคนก็ไม่ทำจมูกกับหมอเถื่อนมา แล้วกลายเป็นเนื้องอก เน่า อักเสบ เราก็ต้องตัดเนื้องอกออกก่อน อต่พอเอาเนื้องอกออก จมูกก็จะเสียรูปทรง ก็ต้องเอาไขมันไม่ซ่อมหรือบางคนไปใส่ซิลิโคนแท่งมา แล้วซิลิโคนทะลุ พอเลาซิลิโคนออกมาก็ต้องเอาไขมันเข้าไปเสริมแทนส่วนที่ว่างไปเช่นกัน
เราเคยช่วยคนข้มาพอสมควรประมาณ 80-90% ของคนไข้ก็จะพอใจกับจมูกที่ทำให้ใหม่ แต่ก็มีบางรายที่ไขมันละลายซึมไปกับร่างกายเกือบหมด ก็ต้องกลับมาทำครั้งที่ 2 วิธี ซึ่งการทำโดยวิธีนี้ในระยะแรกๆ นั้น เราก็ต้องค้นหาวิธีจะทำให้ไขมันติดกับจมูกได้ดีที่สุด ซึ่งในปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้บางรายจะมีการละลายไปมาก แต่ก็ยังเหลืออยู่อย่างน้อยก็ 20-30% ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่ทำให้ช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสำหรับคนไข้ที่ มีปัญหาเรื่องจมูกได้มากขึ้นจริงๆ และผลก็ออกมาได้ดี
การใช้ไขมันเป็นการรักษา ซึ่งเหมือนกับการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเช่นการตัดผิวหนังส่วนหนึ่ง มาปะให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการใช้ไขมันก็มีมานานมากแล้ว ปต่การนำมาใช้กับจมูกนั้นมันจะติดยาก ไม่เหมือนกับเราเอาข้าวไปหว่านในที่แล้ง ทำให้ปลูกติดยากมาก ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่เราแก้ไขปรับปรุงวิธีการ เพื่อทำให้สามารถปลุกติดได้มาขึ้นเรื่อยๆ
ขั้นตอนการเสนริมจมูกด้วยไขมัน
“การทำนั้นซึ่งต้องมีการคัดไขมัน เลือกไขมันด้วย ซึ่งพอเราเอาไขมันออกมาแล้วก็ต้องเอาส่วนที่เป็นน้ำทิ้ง ให้เหลือแต่เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันจริงๆ ซึ่งจะมีมากที่พุงของคนเรา แต่ว่าเราใช้นิดเดียวประมาณนิ้วก้อยหรือ 5 cc
เราเริ่มต้นจากการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องของจมุกเสียทรง ทั้งจากอุบัติเหตุ การผ่าตัดเนื้องอก ไซนัส หรืออื่นๆ กระทั้งเอามาใช้ในคนปกติ เพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจให้คนที่มีปัญหาในเรื่องของสันจมูก ก็คือ “ศัลกรรมเพื่อบุคลิกภาพ”
ปัญหาในเรื่องจมูกบี้ เป็นเรื่องของปมด้อยซึ่งการใช้ไขมันจะสามารถช้วยเสริมความั่นใจมากขึ้น แต่การปลูกไขมันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับไขมันด้วย และสภาพของผิวหนังด้วย ถ้าหนังมันตึงกับเราใหส่เสื้อ ถ้าใส่เสื้อรัดๆ ก็จะเหมลือพื้ที่สำหรับปลุกไขมันได้น้อย แต่ถ้าเรามีหนังมทากเราก็จะปลูกขัมนเข้าไปได้มากขี้น”
เสริมจมูกปลูกย้ายไขมัน
“การเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายขัมน เป็นนวัตกรรมเสริมความงามล่าสุดที่ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้น แก้ปัญหาที่เกิดจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน ที่พบบ่อยที่สุดคือกรณีซิลิโคนทพทะลุออกมาผิวหนังออกมา ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและทรมานให้กับผุ้ป่วยจำนวนมากในร่างกายมนุษย์เรานี่ แหละ โดยนำมาจากการเจาะไขมันบริเวณสพดือและมีลักษณะเหมือนเอ็นข้อไก่มาใช้เสริม จมูก
เมื่อทำการย้ายไขมัน (Graft) มาปลุกใหม่บริเวณจมูก เลือดบริเวณจมูกก็จะทำการหล่อเลี้ยงไขมันจนเหลือเป็นส่วนหนึ่งของจมูก ซึ่งกรรมวิธีดังกล่าวไปยุ่งยากใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น เนื่องจาการผ่าตัดตั้งทำอย่างรวดเร็วและรอบคอบที่สุด เพื่อลดอาหารบอบซ้ำของร่างกาย
การศัลกรรมด้วยวิธีนี้ไม่มีผลกระทบและผลข้างเคียงใดๆ เนื่องจาไขมันไม่ไช่สารแปลกปลอมหรือวัสดุสังเคราะหืจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นไขมันของคนนั้นเองด้วย และไขมันส่วนนี้ทำให้รูปทรงของจมูกสวยงามดูเป็นธรรมชาติ และมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย
การเอาไขมันมันออกมา หมอจะจะเจาะรูที่หน้าท้อง (เล้กๆ เท่านั้น) และหยิบไขมันออกมาเป็นก้อน หลังจากนั้นก็จะต้องตัดไขมันที่จะเอามาปลูก ซึ่งตรงนี้ถือว่าต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์และความเชียวชาญ ของแพทย์ ซึ่งใช้เวลาในการเอาไขมันออกมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เสร็จแล้วก็เย็บปากแผลนิดเดียว ประมาณ 5 – 7 วันแผลก็หายสนิท
เรื่องของรูปของทรงจมูกที่ทำนั้น หมอก็มีหน้าที่จัดรูปทรงเหมือนกับเราปั้นตีกตาหมอมีหน้าที้ตรียมช่องสำหรับ ใส่นุ่นเข้าไป หมอต้องเจาะรูที่ด้านในก่อน ซึ่งเป็นแค่ร฿เล้กๆ จากนั้นก็จะเอาไขมันส่วนที่คัดแล้วมาปลุกเข้าไป หลังจากนั้นก้เย็ยปิกปากแผลแระมาณ 2 เข็ม โดยปริมาณของไขมันที่จะปลูกเข้าไปนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของหนังจมูกว่าสามารถ ยึดได้มากน้อยแค่ไหน
การดูแลรักษาต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 3 เดือน โดยอาทิตยืแรกต้องระวังมากหน่อย หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูว่าไขมันจะติดได้มากน้อยแค่ไหนก็จะมีปัจจัยอยู่ เช่น วิธีการคัดไขมันที่เอามาปลูก วิธีการใส่ การดูแลรักษา และขึ้นอยู่กับเนื้อเยื้อของไขมัน”
ผลวัยรุ่นติดน้อยกว่าที่คาด
“ผลเฉลี่ยของเนื้อเยื่อไขมันจะติดอยู่ที่ประมาณ 50% ที่ต้องบอกว่าเฉลี่ยก้เพราะแล้วแต่ละคนจริงๆ บางคนอาจติดง่ายบางคนก็ติดยาก ซึ่งในวัยอายุปรมาณ 40 – 50 ปี จะปลูกตดกว่า 70% ซึ่งเหตุผลกำลังอยู่ในการวิจัยหาคำตอบต่อไป
ส่วนในเรื่องของราคาในการทำนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราไปทำที่ไหนมากกว่า ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน และการใช้ซิลิโคนแท่งก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจ และดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องดูจมูกของคนไข้ว่าจะเหมาะกับการเสริมแบบไหน ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้ทั้ง 2 ชนิดเลยก็มี
ที่มา : นิตยสาร alternative health
ล่าสุด ศัลยแพทย์ตกแต่งไทยได้คิดค้นการเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายไขมัน (Graft) ขึ้นมาป้องกันวัสดุแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย แต่เป็นไขมันส่วนหน้าท้องของเจ้าตัวนั่นเอง ที่ให้ความลงตัว ไม่ไหลย้อย เสียรูปทรงศัลยแพทย์ผู้นั้นคือ นายแพทย์ชลธิศ สินรัชดานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย
สำหรับความพยายามของแพทยืไทยในการคิดค้นวัสดุธรรมชาติเพื่อเสริมจมูกนั้น ที่ผ่านมามีการนำกระดูกอ่อน จากบริเวณ หรือบริเวณซี่โครงมาใช้จนเป็นที่แพร่หลาย เนื่องจากเป็นวัสดุที่หาง่าย ไม่มีผลกระทบต่อการทำ แต่กลับไม่เป็นที่นิยมมากนักในปัจจุบัน เนื่องจากมีความยุ่งยากซับช้อนมากกว่า
จึงมีการหันไปหาวัสดุยอกนิยมจนมีการนำมาใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือ ซิลิโคนซึ่งมีหลากหลายชนิด โดยแต่ละชนิดยังให้คุณสมบัติที่แตกต่างกันไปด้วย อาทิ ซิลิโคนแบบแข็ง ต้นทุนจะต่ำ ข้อดีคือ ตัดแต่งรูปทรงได้ง่าย แต่เมื่อใช้กับร่างกายก็ส่งผลให้ทะลุได้ง่ายและมีปัญหาต่อเนื่องตามมา
ส่วนซิลิโคนแบบอ่อน มีความยืดหยุ่นสูง แต่กลับตัดแต่งรูปทรงได้ยาก ซิลิโคนที่ให้ประสิธิภาพดีที่สุดสำหรับงานศัลยกรรมคือ ซิลิโคนที่มีความแข็งปลานกลาง เพราะมีความยืดหยุ่นสูงดูเป็นธรรมชาติ และจัดแต่งรูปทรงได้ง่าย ซิลิโคนประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมต่อการศัลยกรรม
ศัลยกรรมเพื่อบุคลิกภาพที่ดี
คุณภาพชลธิศ กล่าวว่า
“ปัจจุบันนี้ การเสริมจมูกมีทั้งหมด 3 อย่างคือ ใช้ซิลิโคน กนะดูกอ่อน และเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของจมุกคนไข้ว่ามีโครงสร้างอย่างไร (ใหญ่ เล็ก หนังมาก กระดูกใหญ่ ฯลฯ ) และดุลพินิจของแพทย์ แต่ตอนนี้การใช้เนื้อเยื่อไขมันเป็นเหมือนวิวัฒนาการใหม่ของวงการศัลยกรรม จมูก
จมูกที่มีปัญหา คือ มันเสียรูปทรงไปแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากหมอเถื่อน ที่ทำแล้วออกมาไท้ดี แย่ยิ่งกว่าเดิม หรือทำว่าอาจเกิดจากอุบัติเหตุ ซึ่งการใช้ซิลิโคน หรือกระดูกอ่อนเข้ามาข่วย บางทีอาจไม่ได้รูปทรกที่ต้องการ
ย้านไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เราก็ได้มีการเอาเนื้อเยื่อร่างกายมาปลูกถ่ายเพื่อจะซ่อมอซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเราไช่ไขมันเป็นหลัก ซึ่งจริงๆ แล้วได้มีการนำไขมันมาใช้กว่า 100 ปีแล้ว โดยนำไปปลูกถ่ายในอวัยวะต่างๆทั้งในส่วนของ หู คอ จมูก เช่น ใช้ในโพรงหู โครงไซนัสหรือฉีดไปในกล่องเสียง เป็นต้น
แต่การที่เรานำมาใช่ในโพรงจมูก ซึ่งธรรมชาติของไขมันนั้น มันจะมาปลูกที่จมูกนั้นจะติดได้ยากมาก ไม่เหมือนกับการนำไปปลุกถ่ายที่คาง แก้ม และไวนัสหรือที่อื่นๆ ซึ่งส่วนเหล่านี้ไขมันจะติดง่าย”
วงการแพทย์พยายามนำไขมันมาปลูกถ่ายรักษาจมูก
“ปัญหาการทำไขมันมาศัลยกรรมจมูกนี้ได้มีความพยายามแก้ไขเรื่อยมา เช่นทางคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มให้การรักษาที่ได้รับอุบัติเหตุ กลุ่มคนไข้ที่จมูกบูดเบี้ยวมาตั้งแต่เกิด หรือกลุ่มที่ไปรับการผ่าตัดจมูกมาแล้วเกิดอาการผิดปกติ เช่น กระดูกทรุดไม่สามารถใช้ซิลิโคนช่วยได้แล้ว ลางคนก็ไม่ทำจมูกกับหมอเถื่อนมา แล้วกลายเป็นเนื้องอก เน่า อักเสบ เราก็ต้องตัดเนื้องอกออกก่อน อต่พอเอาเนื้องอกออก จมูกก็จะเสียรูปทรง ก็ต้องเอาไขมันไม่ซ่อมหรือบางคนไปใส่ซิลิโคนแท่งมา แล้วซิลิโคนทะลุ พอเลาซิลิโคนออกมาก็ต้องเอาไขมันเข้าไปเสริมแทนส่วนที่ว่างไปเช่นกัน
เราเคยช่วยคนข้มาพอสมควรประมาณ 80-90% ของคนไข้ก็จะพอใจกับจมูกที่ทำให้ใหม่ แต่ก็มีบางรายที่ไขมันละลายซึมไปกับร่างกายเกือบหมด ก็ต้องกลับมาทำครั้งที่ 2 วิธี ซึ่งการทำโดยวิธีนี้ในระยะแรกๆ นั้น เราก็ต้องค้นหาวิธีจะทำให้ไขมันติดกับจมูกได้ดีที่สุด ซึ่งในปัจจุบันก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ถึงแม้บางรายจะมีการละลายไปมาก แต่ก็ยังเหลืออยู่อย่างน้อยก็ 20-30% ซึ่งก็ถือว่าเป็นที่ทำให้ช่วยแก้ปัญหาสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสำหรับคนไข้ที่ มีปัญหาเรื่องจมูกได้มากขึ้นจริงๆ และผลก็ออกมาได้ดี
การใช้ไขมันเป็นการรักษา ซึ่งเหมือนกับการปลูกถ่ายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเช่นการตัดผิวหนังส่วนหนึ่ง มาปะให้อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งการใช้ไขมันก็มีมานานมากแล้ว ปต่การนำมาใช้กับจมูกนั้นมันจะติดยาก ไม่เหมือนกับเราเอาข้าวไปหว่านในที่แล้ง ทำให้ปลูกติดยากมาก ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่เราแก้ไขปรับปรุงวิธีการ เพื่อทำให้สามารถปลุกติดได้มาขึ้นเรื่อยๆ
ขั้นตอนการเสนริมจมูกด้วยไขมัน
“การทำนั้นซึ่งต้องมีการคัดไขมัน เลือกไขมันด้วย ซึ่งพอเราเอาไขมันออกมาแล้วก็ต้องเอาส่วนที่เป็นน้ำทิ้ง ให้เหลือแต่เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันจริงๆ ซึ่งจะมีมากที่พุงของคนเรา แต่ว่าเราใช้นิดเดียวประมาณนิ้วก้อยหรือ 5 cc
เราเริ่มต้นจากการรักษาคนไข้ที่มีปัญหาเรื่องของจมุกเสียทรง ทั้งจากอุบัติเหตุ การผ่าตัดเนื้องอก ไซนัส หรืออื่นๆ กระทั้งเอามาใช้ในคนปกติ เพื่อเป็นการเสริมความมั่นใจให้คนที่มีปัญหาในเรื่องของสันจมูก ก็คือ “ศัลกรรมเพื่อบุคลิกภาพ”
ปัญหาในเรื่องจมูกบี้ เป็นเรื่องของปมด้อยซึ่งการใช้ไขมันจะสามารถช้วยเสริมความั่นใจมากขึ้น แต่การปลูกไขมันนั้น ก็ขึ้นอยู่กับไขมันด้วย และสภาพของผิวหนังด้วย ถ้าหนังมันตึงกับเราใหส่เสื้อ ถ้าใส่เสื้อรัดๆ ก็จะเหมลือพื้ที่สำหรับปลุกไขมันได้น้อย แต่ถ้าเรามีหนังมทากเราก็จะปลูกขัมนเข้าไปได้มากขี้น”
เสริมจมูกปลูกย้ายไขมัน
“การเสริมจมูกด้วยการปลูกย้ายขัมน เป็นนวัตกรรมเสริมความงามล่าสุดที่ได้คิดค้นและพัฒนาขึ้น แก้ปัญหาที่เกิดจากการทำศัลยกรรมจมูกด้วยซิลิโคน ที่พบบ่อยที่สุดคือกรณีซิลิโคนทพทะลุออกมาผิวหนังออกมา ซึ่งสร้างความเจ็บปวดและทรมานให้กับผุ้ป่วยจำนวนมากในร่างกายมนุษย์เรานี่ แหละ โดยนำมาจากการเจาะไขมันบริเวณสพดือและมีลักษณะเหมือนเอ็นข้อไก่มาใช้เสริม จมูก
เมื่อทำการย้ายไขมัน (Graft) มาปลุกใหม่บริเวณจมูก เลือดบริเวณจมูกก็จะทำการหล่อเลี้ยงไขมันจนเหลือเป็นส่วนหนึ่งของจมูก ซึ่งกรรมวิธีดังกล่าวไปยุ่งยากใช้เวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น เนื่องจาการผ่าตัดตั้งทำอย่างรวดเร็วและรอบคอบที่สุด เพื่อลดอาหารบอบซ้ำของร่างกาย
การศัลกรรมด้วยวิธีนี้ไม่มีผลกระทบและผลข้างเคียงใดๆ เนื่องจาไขมันไม่ไช่สารแปลกปลอมหรือวัสดุสังเคราะหืจึงไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นไขมันของคนนั้นเองด้วย และไขมันส่วนนี้ทำให้รูปทรงของจมูกสวยงามดูเป็นธรรมชาติ และมีความยืดหยุ่นสูงอีกด้วย
การเอาไขมันมันออกมา หมอจะจะเจาะรูที่หน้าท้อง (เล้กๆ เท่านั้น) และหยิบไขมันออกมาเป็นก้อน หลังจากนั้นก็จะต้องตัดไขมันที่จะเอามาปลูก ซึ่งตรงนี้ถือว่าต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของแพทย์และความเชียวชาญ ของแพทย์ ซึ่งใช้เวลาในการเอาไขมันออกมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น เสร็จแล้วก็เย็บปากแผลนิดเดียว ประมาณ 5 – 7 วันแผลก็หายสนิท
เรื่องของรูปของทรงจมูกที่ทำนั้น หมอก็มีหน้าที่จัดรูปทรงเหมือนกับเราปั้นตีกตาหมอมีหน้าที้ตรียมช่องสำหรับ ใส่นุ่นเข้าไป หมอต้องเจาะรูที่ด้านในก่อน ซึ่งเป็นแค่ร฿เล้กๆ จากนั้นก็จะเอาไขมันส่วนที่คัดแล้วมาปลุกเข้าไป หลังจากนั้นก้เย็ยปิกปากแผลแระมาณ 2 เข็ม โดยปริมาณของไขมันที่จะปลูกเข้าไปนั้นขึ้นอยู่กับสภาพของหนังจมูกว่าสามารถ ยึดได้มากน้อยแค่ไหน
การดูแลรักษาต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 3 เดือน โดยอาทิตยืแรกต้องระวังมากหน่อย หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูว่าไขมันจะติดได้มากน้อยแค่ไหนก็จะมีปัจจัยอยู่ เช่น วิธีการคัดไขมันที่เอามาปลูก วิธีการใส่ การดูแลรักษา และขึ้นอยู่กับเนื้อเยื้อของไขมัน”
ผลวัยรุ่นติดน้อยกว่าที่คาด
“ผลเฉลี่ยของเนื้อเยื่อไขมันจะติดอยู่ที่ประมาณ 50% ที่ต้องบอกว่าเฉลี่ยก้เพราะแล้วแต่ละคนจริงๆ บางคนอาจติดง่ายบางคนก็ติดยาก ซึ่งในวัยอายุปรมาณ 40 – 50 ปี จะปลูกตดกว่า 70% ซึ่งเหตุผลกำลังอยู่ในการวิจัยหาคำตอบต่อไป
ส่วนในเรื่องของราคาในการทำนั้นขึ้นอยู่กับว่าเราไปทำที่ไหนมากกว่า ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน และการใช้ซิลิโคนแท่งก็ยังถือว่าปลอดภัยอยู่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจ และดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องดูจมูกของคนไข้ว่าจะเหมาะกับการเสริมแบบไหน ซึ่งบางคนอาจจะต้องใช้ทั้ง 2 ชนิดเลยก็มี
ที่มา : นิตยสาร alternative health
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553
เชื่อหรือไหม…เปลือกไข่มีประโยชน์
ประโยชน์ที่ส่าไม่ไช่หมายถึงการเอาเปลือกไข่ไปทาสีวาดหน้าตาเป็นตัวตลกเล่น แต่เป็นประโยชน์ที่ร่างกายจะได้พลังงานจากการกินเจ้าเปลือกเข้าไป ด้วยการเอาเปลือกไข่มาล้างให้สะอาดย่างให้ร้อนแล้วตำบดจนแห้งเป็นผง (หรือถ้าใครกว่ามันดำก็เปลี่ยนเป็นอบแทน) จากนั้นก็เอาไปหุงปนข้าว คุณจะได้ข้าวที่เสริมแคลเซียมมาอย่างดี เหมาะสำหรับเด็กคนแก่ และคนที่ทำงานอย่างหนักทุกคน
เรื่องขององุ่นแดง
องุ่นแดงมีสีตั้งแต่แดงเรื่อๆ จนแดงเข็มเหมือนกับดำ เช่นองุ่นพันธุ์ black pearl เป็นต้น สีแดงนั้นเป็นเม็ดสีและมีอยู่ที่ผิวองุ่นพันธุ์เท่านั้น และผิวองุ่นมีน้ำหนักเฉลี่ยเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล หากคั้นน้ำองุ่นแดงจะได้น้ำที่ปราศจากสีเจือปนสีแดงขององุ่นเป็นสารสีแอนโธ ชัยนิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารฟินอลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและซะลอความแก่เป็นต้น องุ่นแดงที่ใช้ทำไวน์จะมีสารดังกล่าวอยู่ 1.0 ถึง 2.8 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่น ซึ่งสูงกว่าองุ่นแดงที่รับประทานสดที่มีอยู่เพียง 0.07 ถึง 0.15 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่นสดเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้รับสารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ครั้งต่อไปควรรับประทาน องุ่นสีแดงเข้มและควรเคี้ยวเปลือกองุ่นให้แหลกเพื่อปลดปล่อยสารแอนโธชัยนินอ อกมาให้มากที่สุด
โครงการเผลแพร่ความรู้และผลงานวิชาการผ่านสื่อหนังสือพิมพ์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โครงการเผลแพร่ความรู้และผลงานวิชาการผ่านสื่อหนังสือพิมพ์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553
รอบรู้เรื่องมีด
มีด’ ของใช้ มีคม ที่มักประจำการอยู่ตามห้องครัว มีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท มีแบบไหนใช้งานอย่างไรให้ถูกวิธี วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก…
- มีด มีทั้งที่ทำจากเหล็กสแตนเลสและทองเหลือง ควรเลือกมีดที่ทำจากเหล็กเนื้อดีไม่เป็นสนิมด้ามทำจากเนื้อเหล็กอย่างดีติด แน่นกับตัวมีด
- มีดอีโต้ ใช้ในการสับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
- มีดปลายแหลมมีหลายแบบ ไว้ใช้หั่นผัก ใช้ปอกผลไม้ และมีดปลายแหลมเล็กๆโค้งๆ ไว้สำหรับแกะสลักผลไม้และผักต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม
- มีดต่างๆ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็จะหมดความคมต้องทำการลับด้วยหินลับมีดซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหนา
- วิธีลับ คือ ให้วางหินลับมีดชนิดก้อนสี่เหลี่ยมหนาไว้หินบนผ้าเพื่อไม่ให้หินเลื่อน วางปลายมีดบนหินมือขวาจับด้ามมีดมือซ้ายกดให้คมถูออกไปตามหินกดให้น้ำหนัก เบาและเสมอกันสุดปลายมีดทำอย่างนี้ด้านละ 3-4 ครั้ง
- การใช้มีดให้คมนาน คือ อย่าใช้มีดหั่นของที่ร้อนจัดบ่อย ๆ เพราะจะทำให้มีดหมดความคมได้ง่ายเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดเช็ดให้ แห้งแล้วจึงเก็บเข้าที่
เพียงเท่านี้ ก็จะมีมีดคม ๆ ไว้ใช้ได้อีกนาน.
ที่มา เดลินิวส์
- มีด มีทั้งที่ทำจากเหล็กสแตนเลสและทองเหลือง ควรเลือกมีดที่ทำจากเหล็กเนื้อดีไม่เป็นสนิมด้ามทำจากเนื้อเหล็กอย่างดีติด แน่นกับตัวมีด
- มีดอีโต้ ใช้ในการสับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
- มีดปลายแหลมมีหลายแบบ ไว้ใช้หั่นผัก ใช้ปอกผลไม้ และมีดปลายแหลมเล็กๆโค้งๆ ไว้สำหรับแกะสลักผลไม้และผักต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม
- มีดต่างๆ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็จะหมดความคมต้องทำการลับด้วยหินลับมีดซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหนา
- วิธีลับ คือ ให้วางหินลับมีดชนิดก้อนสี่เหลี่ยมหนาไว้หินบนผ้าเพื่อไม่ให้หินเลื่อน วางปลายมีดบนหินมือขวาจับด้ามมีดมือซ้ายกดให้คมถูออกไปตามหินกดให้น้ำหนัก เบาและเสมอกันสุดปลายมีดทำอย่างนี้ด้านละ 3-4 ครั้ง
- การใช้มีดให้คมนาน คือ อย่าใช้มีดหั่นของที่ร้อนจัดบ่อย ๆ เพราะจะทำให้มีดหมดความคมได้ง่ายเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดเช็ดให้ แห้งแล้วจึงเก็บเข้าที่
เพียงเท่านี้ ก็จะมีมีดคม ๆ ไว้ใช้ได้อีกนาน.
ที่มา เดลินิวส์
สมุนไพรแก้คัน
หมอเขาแนะนำว่าไม่ควรเกาเวลาที่เกิดอาการคัน เพราะยิ่งเกาก็ยิ่งกระจายทำให้เกิดอาการคันมากขึ้น ทางที่ดีควรหายาแก้คันมาทาจะดีกว่าโดยอยู่ใกล้ตัวเรามีดังต่อไปนี้
ใบกระเพรา
กะเพราไม่ได้เกิดมาเพื่อเด้งดึ่งอยู่ในกระทะคู้กับ หมู น้ำปลา จนกลายเป็นผัดกระเพราเพียงอย่างเดียว เวลาเกิดอาการคัน ถ้าเราเอาใบกระเพราสดมาขยี้แรงๆ จนละเอียดตรงบริเวณที่คันก็จะหายไป แถมยังไม่มีตุ่มคันบวมหรือหนองขึ้นด้วย
พลู
วิธีใช้ใบพลูแก้คันทำไม่ยาก แค่เอาพลู 3-4 ใบไปตำจนได้น้ำออกมา เติมเหล้าขาวลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำแล้วยกขึ้นชด เอ๊ย! เอาไปทาแผล ไม่นานอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อผิวหนังอยู่แล้ว สาวๆ โบราณเข้าถึงได้เอามาทาผิวให้สวยเนียนจนท่านเจ้าคุณอยากสัมผัสยังไงล่ะ และเวลาที่เกิดอาการคันถ้าเอาขมิ้นชันสดๆมาล้าง ตำให้ละเอียดแล้วเอามาทาที่แผลก้จะช่วยให้หายคันได้อีกด้วย
ไพล
คนไทยเราไม่นึกถึงไพลเฉพาะเวลาที่ถูกเฆี่ยน เวลาคันๆไพลก็มีประโยชน์เหมือนกัน วิธีใช้ก็คล้ายๆขมิ้นคือต้องเอาเหง้าไพลไปตำหรือบดละเอียดผสมกับน้ำ จะช่วยให้ผิวที่คันคะเยอปวดแสบปวดร้อยหายได้
ขอขอบคุณ
ที่มา นิตยาสาร Spicy
ใบกระเพรา
กะเพราไม่ได้เกิดมาเพื่อเด้งดึ่งอยู่ในกระทะคู้กับ หมู น้ำปลา จนกลายเป็นผัดกระเพราเพียงอย่างเดียว เวลาเกิดอาการคัน ถ้าเราเอาใบกระเพราสดมาขยี้แรงๆ จนละเอียดตรงบริเวณที่คันก็จะหายไป แถมยังไม่มีตุ่มคันบวมหรือหนองขึ้นด้วย
พลู
วิธีใช้ใบพลูแก้คันทำไม่ยาก แค่เอาพลู 3-4 ใบไปตำจนได้น้ำออกมา เติมเหล้าขาวลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำแล้วยกขึ้นชด เอ๊ย! เอาไปทาแผล ไม่นานอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ขมิ้นชัน
ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อผิวหนังอยู่แล้ว สาวๆ โบราณเข้าถึงได้เอามาทาผิวให้สวยเนียนจนท่านเจ้าคุณอยากสัมผัสยังไงล่ะ และเวลาที่เกิดอาการคันถ้าเอาขมิ้นชันสดๆมาล้าง ตำให้ละเอียดแล้วเอามาทาที่แผลก้จะช่วยให้หายคันได้อีกด้วย
ไพล
คนไทยเราไม่นึกถึงไพลเฉพาะเวลาที่ถูกเฆี่ยน เวลาคันๆไพลก็มีประโยชน์เหมือนกัน วิธีใช้ก็คล้ายๆขมิ้นคือต้องเอาเหง้าไพลไปตำหรือบดละเอียดผสมกับน้ำ จะช่วยให้ผิวที่คันคะเยอปวดแสบปวดร้อยหายได้
ขอขอบคุณ
ที่มา นิตยาสาร Spicy
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553
7 ข้อของการมีหุ่นที่ดี
อยากมีหุ่นดี ๆ ได้ไม่อยาก ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนให้เสียสุขภาพ
1. ลองเขียนเหตุผลบนกระดาษ มาสัก 3 ข้อซิ ว่าทำไม คุณถึงต้องการจะลดน้ำหนัก
หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ “ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้” นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ “ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้” อย่างงี้
2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ
บ่อยแค่ไหนที่มัวแตชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จ ของเขา ให้คิดทันทีว่า “ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ” เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน
3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่
ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานะการ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานะการเหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้
4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า “โอ้ยเหลือเวลาตั้งมาก” แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมาณมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด…ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ยะ โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ
5. ลดปริมาณอาหารลง
คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างเงี้ย ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้งั้ย เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว
6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน
น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย
7. ทานมื้อเช้าทุกวัน
การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย
1. ลองเขียนเหตุผลบนกระดาษ มาสัก 3 ข้อซิ ว่าทำไม คุณถึงต้องการจะลดน้ำหนัก
หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ “ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้” นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ “ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้” อย่างงี้
2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ
บ่อยแค่ไหนที่มัวแตชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จ ของเขา ให้คิดทันทีว่า “ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ” เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน
3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่
ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานะการ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานะการเหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้
4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า “โอ้ยเหลือเวลาตั้งมาก” แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมาณมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด…ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ยะ โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ
5. ลดปริมาณอาหารลง
คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างเงี้ย ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้งั้ย เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว
6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน
น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย
7. ทานมื้อเช้าทุกวัน
การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย
อาหารเพื่อผิวพรรณ
ผิวอักเสบ สิว ผิวแห้ง โรคผิวหนังเรื้อรัง สามารถดูแลรักษาและป้องกันได้ด้วยอาหารที่เลือกสรรกินเป็นประจำนอกจากนี้ อาหารบางชนิดยังช่วยให้ผิวพรรณให้มีสุขภาพที่ดีอีกด้วย
รู้มั้ยว่าอาหารที่เรากินกันนั้นมีสารอาหารที่จะช่วยป้องกันริ้วรอย จุดด่างดำ กระ ฝ้าบนใบหน้า และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงในการต่อต้านโรคผิวหนังอักเสบหรือเริม ได้ด้วย
ความวามมาจากภายใน การกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็สามารถช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและอ่อนเยาว์หากมีการอักเสบเพียงเล็กน้อยในร่างกาย ก็ทำให้ผิวแก้ก่อนวัยได้ ดังนั้น เราจึงควรกินไขมันชนิดดีและกินน้ำตาลให้น้อยลง นอกจานี้ก็ยังขึ้นอยู่กับลักษณะส่วนตัวของแต่ละบุคคลนั่นคือ ผิวไหม้แดดเร็วไหม ผิวคุณแห้งหรือเป็นสิวง่ายไหม หรือคุณเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง ผิวอักเสบหรือว่าเริม
อาหาร…หยุดสิว
คนที่มักเป็นสิว ไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไปเพราะมันจะไปกระตุ้นต่อมไขมัน โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์จะไปทำให้กระบวนการอักเสบของผิวเป็นมากขึ้น และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า การดื่มนมสามารถทำให้สิวโผล่ขึ้นมาได้เพราะจากการทดลองกับอาสาสมัครโดยการ ให้กินนมทุกวัน ปรากฏว่าเพิ่มความเสี่ยงของสิว 22% นักวิจัยเชื่อว่าฮอร์โมนในนมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ ช็อกโกแลต ขนามหวานๆ มันฝลั่งทอด หรือพิชซ่าที่คาดว่าเป็นตัวการทำลายผิวนั้นก็ยังโต้แย้งกันอยู่ แต่ที่ดีที่สุดคิอการกินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่สำคัญสำหรับผิวที่เป็นสิวคือวิตามินอี (เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว พริกหวาน) สังกะสี (เช่น ข้าวโอ๊ด โกโก้) และชีลีเนียม (เช่น ปลา ไข่)
โรคผิวหนัง Rosacea เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งมีอาการผื่นแดงบริเวณส่วนกลางของใบหน้า เส้นเลือดจะขยาย และอาจเกิดผื่นนูนแดงได้ หากเป็นนานๆ ที่บริเวณจมูกจะทำให้จมูกโต ไม่พบมานักในคนไทย รักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือถ้าเส้นเลือดขยายมากอาจรักษาด้วยเลเชอร์ คนที่เป็นโรคนี้ควรหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาที่ผิว เช่น แสงแดด ความร้อน แอลกฮอล์ เครื่องดื่มร้อนๆ อาหารรสเผ็ด เพราะจะทำให้กระตุ้นให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นได้ คุณควรพยายามสังเกตตัวเองว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวผื่นแดงข้อเสนอ แนะนำคือ ลองเข้าคอร์สไดเอ็ด อาจช่วยให้โรคนี้ดีขึ้นได้
โรคสะเก็ดเงิน ชาวเอสกิโมรู้จักโรคนี้ดีเพราะมีอาการคันหรือพุพองเป็นตุ่มใส มักเป้นบริเวณข้อศอกหลัง เข่า มือ โรคนี้จะไม่เกิดเมื่อชาวเอสกิโมกินอาหารพื้นเมือง เช่นกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และจากการศึกษาของนักวิขาการได้ยืนยันว่า การกินกรด Alpha Linolenic (เช่น น้ำมันฝ้าย) จะช่วยบรรเทาโรคนี้ได้ เช่น วันหนึ่งๆ ควรที่จะกินกรด Linolenic 1 กรัม น้ำมันปลา 1.5 กรัม เป็นประจำสม่ำเสมออาหารที่ต้องระวังคือ เนื้อหมู ไส้กรอก อาหารรสเผ็ดและแอลกฮอล์ เพราะอาหารเล่านี้จะกระตุ้นให้โรคกำเริบได้
เริม แสงแดด ความเครียด หวัด ทำให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก เพราะเกือบ 90 % ของผู้ใหญ่มีไวรัสเริมหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไวรัสก็จะแสดงฤทธ์เดชขึ้นมาผู้ที่เป็นเริมควรกินอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ เช่นผักและผลไม้ ก็จะป้องกันโรคเริมได้ เพราะวิตามินซีช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง จากการศึกษาพบว่าการกินวิตามินซีครั้งละ 3 ครั้ง ครั้งละ 600 มิลลิกรัมก็จะทำให้เริมที่ก่อตัวหายได้เร็วขึ้น แต่การกินโปรตีน Arginine จะทำให้ไวรัสเพิ่มขึ้นเร็ว โปรตีน Arginine มีอยู่ในถั่ว ซ้อกโกแลต วุ้น และลุกเกด จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว ส่วนอาหารที่ทำให้ไวรัสอ่อนแอ ก็คือ ปลา ไข่ นม สัตว์ปีก มันฝรั่ง และผลไม้เปลือกแข็ง
ผิวแห้ง คนที่มีผิวแห้งและอยากถนอมผิวให้นุ่มนวลอยู่เสมอควรดูแลจากภายในและควรกินไข มันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ควรใส่ใจกันกรดโอเมก้า-3 และ6 หากผิวแห้งมาก ควรกินกรด Linolenic ซึ่งมีความสำคัญต่อผิว และอย่าลืมรักษาความชุ่มชื้นของผิว เช่น กรดอะมีโน Arginine ซึ่งมีมากในถั่วลิสง รำข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง
ผิวสุขภาพดี จาการศึกษาของมหาวิทยาลัย Monash โนเมลเบิร์น ประเทศออสเตเรียพบว่าคนที่กินปลาบ่อย กินน้ำมันพืชและกินผักอย่างเพียงพอ มีริ้วรอยน้อยกว่าคนในวัยเดียวกันซึ่งชอบกินเนื้อสัตว์ กินน้ำตาลและเนยมาก นอกจากนี้กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองซึ่งมีไฟโตเจนก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวแก่ เร็ว เพราะการศึกษาวงการแพทย์พบว่าเกือบทุกกระบวนการความชราในร่างกายทั้ง ผิวหนัง มีผลมาจากการอักเสบ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งส่งผลให้เลือดตีบตัน ทำให้สารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ไม่ดีทำให้ผิวอ่อนหล้า
กันแดดจากธรรมชาติ ในฤดูร้อนผิวต้องการปกป้องเป็นพิเศษ และเราก็สามารถหาได้จากการกินซึ่งปกป้องผิวได้ส่วนหนึ่งพร้อมกับการใช้ ผลิตภัณฑ์กันแดดควบคู่กันไปด้วย อาหารที่ปกป้องผิวคือ ไลโคปีนจากมะเขือเทศวันละ 20 กรัม ไลโคปีนจากแตงโม หรือเบต้าเคโรทีนวันละ 20 กรัมจากแครอตและผักโขม ส่วนผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาวกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวด้วย แต่ไม่ควรกินของหวานเพราะจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากยิ่งขึ้น ส่วนคนที่เป้นกระ จุดด่างดำง่าย ควรกินวิตามินซี ให้มาก เช่น ส้ม กีวี เพราะมันจะช่วยให้การผลิตเมลานิน เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิด กระ จุดด่างดำได้น้องลง
อาหารที่ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ ผักผลไม้ 10 อย่างดังต่อไปนี้เป็นอาหารดปรดของผิว เช่น ผักโขม พริกหวานสีแดง พริกชี้ฟ้า หัวหอมใหญ่ เกรฟฟรุต เห็ด มะเขือม่วง แอปเปิ้ล ส้ม และหน่อๆไม้ฝรั่ง
อาหารที่ทำร้ายผิว
อาหารที่มีกรด Atschidonic จะทำให้ผิวอักเสบ เช่น ตับหมู นำมันหมู ตับลุกวัว ไข่แดง หมูแฮม ตับวัว ตับบด
ยอดน้ำมันพืช นำมันฝ้าย มีกรดโอเมก้า-3 มากที่สุดรองลงมาก็คือ น้ำมันวอลนัต น้ำมันปอ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวสาลี น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันงา เป็นต้น
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa
รู้มั้ยว่าอาหารที่เรากินกันนั้นมีสารอาหารที่จะช่วยป้องกันริ้วรอย จุดด่างดำ กระ ฝ้าบนใบหน้า และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงในการต่อต้านโรคผิวหนังอักเสบหรือเริม ได้ด้วย
ความวามมาจากภายใน การกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็สามารถช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีและอ่อนเยาว์หากมีการอักเสบเพียงเล็กน้อยในร่างกาย ก็ทำให้ผิวแก้ก่อนวัยได้ ดังนั้น เราจึงควรกินไขมันชนิดดีและกินน้ำตาลให้น้อยลง นอกจานี้ก็ยังขึ้นอยู่กับลักษณะส่วนตัวของแต่ละบุคคลนั่นคือ ผิวไหม้แดดเร็วไหม ผิวคุณแห้งหรือเป็นสิวง่ายไหม หรือคุณเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง โรคเรื้อนกวาง ผิวอักเสบหรือว่าเริม
อาหาร…หยุดสิว
คนที่มักเป็นสิว ไม่ควรกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไปเพราะมันจะไปกระตุ้นต่อมไขมัน โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์จะไปทำให้กระบวนการอักเสบของผิวเป็นมากขึ้น และจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า การดื่มนมสามารถทำให้สิวโผล่ขึ้นมาได้เพราะจากการทดลองกับอาสาสมัครโดยการ ให้กินนมทุกวัน ปรากฏว่าเพิ่มความเสี่ยงของสิว 22% นักวิจัยเชื่อว่าฮอร์โมนในนมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ ช็อกโกแลต ขนามหวานๆ มันฝลั่งทอด หรือพิชซ่าที่คาดว่าเป็นตัวการทำลายผิวนั้นก็ยังโต้แย้งกันอยู่ แต่ที่ดีที่สุดคิอการกินอาหารที่มีประโยชน์ อาหารที่สำคัญสำหรับผิวที่เป็นสิวคือวิตามินอี (เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว พริกหวาน) สังกะสี (เช่น ข้าวโอ๊ด โกโก้) และชีลีเนียม (เช่น ปลา ไข่)
โรคผิวหนัง Rosacea เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งมีอาการผื่นแดงบริเวณส่วนกลางของใบหน้า เส้นเลือดจะขยาย และอาจเกิดผื่นนูนแดงได้ หากเป็นนานๆ ที่บริเวณจมูกจะทำให้จมูกโต ไม่พบมานักในคนไทย รักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือถ้าเส้นเลือดขยายมากอาจรักษาด้วยเลเชอร์ คนที่เป็นโรคนี้ควรหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่ทำให้เกิดปัญหาที่ผิว เช่น แสงแดด ความร้อน แอลกฮอล์ เครื่องดื่มร้อนๆ อาหารรสเผ็ด เพราะจะทำให้กระตุ้นให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นได้ คุณควรพยายามสังเกตตัวเองว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวผื่นแดงข้อเสนอ แนะนำคือ ลองเข้าคอร์สไดเอ็ด อาจช่วยให้โรคนี้ดีขึ้นได้
โรคสะเก็ดเงิน ชาวเอสกิโมรู้จักโรคนี้ดีเพราะมีอาการคันหรือพุพองเป็นตุ่มใส มักเป้นบริเวณข้อศอกหลัง เข่า มือ โรคนี้จะไม่เกิดเมื่อชาวเอสกิโมกินอาหารพื้นเมือง เช่นกินปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และจากการศึกษาของนักวิขาการได้ยืนยันว่า การกินกรด Alpha Linolenic (เช่น น้ำมันฝ้าย) จะช่วยบรรเทาโรคนี้ได้ เช่น วันหนึ่งๆ ควรที่จะกินกรด Linolenic 1 กรัม น้ำมันปลา 1.5 กรัม เป็นประจำสม่ำเสมออาหารที่ต้องระวังคือ เนื้อหมู ไส้กรอก อาหารรสเผ็ดและแอลกฮอล์ เพราะอาหารเล่านี้จะกระตุ้นให้โรคกำเริบได้
เริม แสงแดด ความเครียด หวัด ทำให้เกิดเริมที่ริมฝีปาก เพราะเกือบ 90 % ของผู้ใหญ่มีไวรัสเริมหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ไวรัสก็จะแสดงฤทธ์เดชขึ้นมาผู้ที่เป็นเริมควรกินอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ เช่นผักและผลไม้ ก็จะป้องกันโรคเริมได้ เพราะวิตามินซีช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง จากการศึกษาพบว่าการกินวิตามินซีครั้งละ 3 ครั้ง ครั้งละ 600 มิลลิกรัมก็จะทำให้เริมที่ก่อตัวหายได้เร็วขึ้น แต่การกินโปรตีน Arginine จะทำให้ไวรัสเพิ่มขึ้นเร็ว โปรตีน Arginine มีอยู่ในถั่ว ซ้อกโกแลต วุ้น และลุกเกด จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว ส่วนอาหารที่ทำให้ไวรัสอ่อนแอ ก็คือ ปลา ไข่ นม สัตว์ปีก มันฝรั่ง และผลไม้เปลือกแข็ง
ผิวแห้ง คนที่มีผิวแห้งและอยากถนอมผิวให้นุ่มนวลอยู่เสมอควรดูแลจากภายในและควรกินไข มันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ควรใส่ใจกันกรดโอเมก้า-3 และ6 หากผิวแห้งมาก ควรกินกรด Linolenic ซึ่งมีความสำคัญต่อผิว และอย่าลืมรักษาความชุ่มชื้นของผิว เช่น กรดอะมีโน Arginine ซึ่งมีมากในถั่วลิสง รำข้าวสาลี และผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง
ผิวสุขภาพดี จาการศึกษาของมหาวิทยาลัย Monash โนเมลเบิร์น ประเทศออสเตเรียพบว่าคนที่กินปลาบ่อย กินน้ำมันพืชและกินผักอย่างเพียงพอ มีริ้วรอยน้อยกว่าคนในวัยเดียวกันซึ่งชอบกินเนื้อสัตว์ กินน้ำตาลและเนยมาก นอกจากนี้กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองซึ่งมีไฟโตเจนก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวแก่ เร็ว เพราะการศึกษาวงการแพทย์พบว่าเกือบทุกกระบวนการความชราในร่างกายทั้ง ผิวหนัง มีผลมาจากการอักเสบ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งส่งผลให้เลือดตีบตัน ทำให้สารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ไม่ดีทำให้ผิวอ่อนหล้า
กันแดดจากธรรมชาติ ในฤดูร้อนผิวต้องการปกป้องเป็นพิเศษ และเราก็สามารถหาได้จากการกินซึ่งปกป้องผิวได้ส่วนหนึ่งพร้อมกับการใช้ ผลิตภัณฑ์กันแดดควบคู่กันไปด้วย อาหารที่ปกป้องผิวคือ ไลโคปีนจากมะเขือเทศวันละ 20 กรัม ไลโคปีนจากแตงโม หรือเบต้าเคโรทีนวันละ 20 กรัมจากแครอตและผักโขม ส่วนผู้ที่มีผิวค่อนข้างขาวกินผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวด้วย แต่ไม่ควรกินของหวานเพราะจะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากยิ่งขึ้น ส่วนคนที่เป้นกระ จุดด่างดำง่าย ควรกินวิตามินซี ให้มาก เช่น ส้ม กีวี เพราะมันจะช่วยให้การผลิตเมลานิน เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้เกิด กระ จุดด่างดำได้น้องลง
อาหารที่ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ ผักผลไม้ 10 อย่างดังต่อไปนี้เป็นอาหารดปรดของผิว เช่น ผักโขม พริกหวานสีแดง พริกชี้ฟ้า หัวหอมใหญ่ เกรฟฟรุต เห็ด มะเขือม่วง แอปเปิ้ล ส้ม และหน่อๆไม้ฝรั่ง
อาหารที่ทำร้ายผิว
อาหารที่มีกรด Atschidonic จะทำให้ผิวอักเสบ เช่น ตับหมู นำมันหมู ตับลุกวัว ไข่แดง หมูแฮม ตับวัว ตับบด
ยอดน้ำมันพืช นำมันฝ้าย มีกรดโอเมก้า-3 มากที่สุดรองลงมาก็คือ น้ำมันวอลนัต น้ำมันปอ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวสาลี น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันงา เป็นต้น
ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa
วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553
วิธีการจัดสวนถาด
การจัดสวยถาด คือการทำต้นไม้ในร่มพันธ์ แคระมาจักสวนขนาดจิ๋วลงในถาดขนาดพอเหมาะ เพื่อตั้งประดับตกแต่งในอาคาร หรือโต๊ะทำงาน โดยมากต้นไม้ที่นิยมนำมาจัดมักจะเป็นต้นไม้มงคลชนิดต่างๆ ส่วนขั้นตอนนั้นก็สุดแสนจะง่าย อาศัยเพียงความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละบุคคล ในส่วนของวัสดุที่ใช้ในการทำนั้นก็สามารถหาได้ในท้องตลาดแถมพอทำแล้วกำไรดี ซะด้วย ถ้าสนใจลองทำแล้วจะรู้ว่าสามารถทำได้ง่ายจริงๆ
วัสดุอุปกรณ์การทำประกอบด้วย
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วัสดุอุปกรณ์การทำประกอบด้วย
- ถาดเซรามิกหรือดินเผา
- ต้นไม้ในร่ม เช่น เฟิร์นผักชี, แพญี่ปุ่น, ราชินีเงิน, กนกนารีบูล, กุหลาบหินใบฝอย เป็นต้น
- ทราย
- หิน, หินกรวด, ขอนไม้
- กระบอกฉีดน้ำ
- คีมปากกาแหลม
- นำทรายใส่ลงในถาดแล้วใช้กระบอกฉีดน้ำ ฉีดให้ชุ่มพอดี
- จากนั้นนำต้นไม้ขนาดใหญ่ลงปลูก โดยการขุดทรายให้เป็นหลุมลึกพอกลบรากต้นใม้ได้
- พอปลูกต้นไม้ใหญ่เสร็จ ตามด้วยต้นไม้ขนาดกลาง
- เสร็จแล้ววางหินขนาดต่างๆ ตามแบบที่วางไว้
- แล้วตามด้วยต้นไม้ขนาดเล็ก จัดตามความชอบ ความต้องการของลูกค้า
- จากนั้นนำต้นไม้ประเภทคลุมพื้น มาคลุมพื้นทรายบริเวณที่ไม่ได้ปลูกต้นไม้ให้เต็ม
- เสร็จแล้วโรยหินกรวดตกแต่งให้สวยงาม
ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
รู้เรื่องจริงของสิว
แม้ “สิว” เป็นเรื่องธรรมชาติแต่อาจทิ้งร่องรอยไม่พึงปรารถณากาดรักษาไม่ถูกวิธี
ความรู้เบื้องต้น
“สิว” เป็นโรคที่เกี่ยวกับต่อมไข่มันอุดตันและรูขุมขน มักเกิดบริเวณใบหน้า หลัง หน้าอก ส่วนใหญ่เริ่มเป็นตั้งแต่วันรุ่นและกินระยะประมาณ 8-14 ปี โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงของต่อมรูขุมขนอันเป็นสาเหตุให้เกิดสิวดังนี้
การแกะและรบกวนสิวอยู่เสมอทำให้เกิดริวรอยรอยแดงหรือรอยดำ ข้อแนะนำคือ พยายามอย่าไปรบกวนบริเวณที่เป็นสิว ถ้ารู้สึกเจ็บหรือรำคาญควรใช้ยาทาหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ
ริ้วรอย-รอยดำจากสิวสามารถหายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติใช้เวลานาน 3-4 เดือน หากต้องการให้หายเร็วขึ้น อาจต้องใช้ยาหรือครีมที่มีส่วนผสมของซะเอมเทศ วิตามินเอ กรดอาซีลาอิก (Azelaic Acid) และการทำเลเซอร์ IPL ซึ่งมีคลื่นแสงเหมาะสมกับการกำจัดรอยแดง-รอยดำ
ส่วนหลุมสิวเกิดจากสิวอุดตันที่เป็นอยู่นานโดยไม่ได้เอาหัวสิวออก ทำให้รูขุมขนด้านล่างฐานกว้างขึ้นและกล่ยเป็นหลุม บางรายเกิดการสัมผัสบ่อยๆจนอักเสบเป็นหนองอาจมีเชื้อแบททีเรียเข้าไปทำลาย เนื้อเยื้ยชั้นใต้ผิวหนัง (Collagen) เมื่อเนื้อเยื่ยชั้นใต้ผิวหนังถูกทำลายจึงทำให้แผลเป็นหลุม
ทางออก
- ห้ามสัมผัสหรือแกะเกา เพราะเชื้อโรคจะเข้าไปถึงสิวอุดตันง่ายขึ้นและเม็ดเลือดขาวจะเข้าทำลายเชื้อ แบททีเรียนั้น ทำให้อักเสบและเกิดแผลเป้นหรือริ้วรอยในภายหลัง
- พักผ่อนให้เพียวพอ หลีกเลี่ยงจากความเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ โดยสัมผัสผิวหน้าอย่างเบามือ
- ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชียวชาญทางผิวหนัง เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชียวชาญ
นายแพทย์สุรพล ลิขิตวัฒนานุรักษ์ แนะนำว่า “สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ สามารถหายเองได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการแกะเกาสิวซึ่งทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลุมสิว เมื่อเกิดริ้วรอยและหลุมสิว เมื่อเกิดสิวริ้วรอยและหลุมสิว สามารถใช้เทตโนโลยี Fine Scan 1550 ที่เหมาะสำหรับแผลเป็น จากหลุมสิวและผู้มีรูขุมขนกว้าง เครื่องนี้ทำงานโดยส่งแสงเลเซอร์ผ่านทะลุผิวหนังกำพร้าลึกลงไปถึงชั้น ผิวหนังในระดับลึก จึงมีแผลเล็กๆ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเกิดขึ้น เมื่อผิวหนังเกิดการซ่อมแซมแผลเล็กเหล่านี้ รวมถึงมีการซ่อมแซมแผลเป็นหลุมสิวเก่าด้วย แผลเป็นหลุม หลุมสิวจึงได้รับการฟื้นฟูสภาพให้กลับมามีสุขภาพดีขึ้น”
ขอขอบคุณ ที่มา นิตยสาร SHAPE
ความรู้เบื้องต้น
“สิว” เป็นโรคที่เกี่ยวกับต่อมไข่มันอุดตันและรูขุมขน มักเกิดบริเวณใบหน้า หลัง หน้าอก ส่วนใหญ่เริ่มเป็นตั้งแต่วันรุ่นและกินระยะประมาณ 8-14 ปี โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงของต่อมรูขุมขนอันเป็นสาเหตุให้เกิดสิวดังนี้
- มีการเพิ่มบริเวณน้ำมันจากรูขุมขน
- ท่อรูขุมขนอุดตัน
- แบททีเรียบริเวณนี้ทำงานมากเกินไป
- มีการอักเสบ
การแกะและรบกวนสิวอยู่เสมอทำให้เกิดริวรอยรอยแดงหรือรอยดำ ข้อแนะนำคือ พยายามอย่าไปรบกวนบริเวณที่เป็นสิว ถ้ารู้สึกเจ็บหรือรำคาญควรใช้ยาทาหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญ
ริ้วรอย-รอยดำจากสิวสามารถหายเองได้ตามธรรมชาติ ซึ่งโดยปกติใช้เวลานาน 3-4 เดือน หากต้องการให้หายเร็วขึ้น อาจต้องใช้ยาหรือครีมที่มีส่วนผสมของซะเอมเทศ วิตามินเอ กรดอาซีลาอิก (Azelaic Acid) และการทำเลเซอร์ IPL ซึ่งมีคลื่นแสงเหมาะสมกับการกำจัดรอยแดง-รอยดำ
ส่วนหลุมสิวเกิดจากสิวอุดตันที่เป็นอยู่นานโดยไม่ได้เอาหัวสิวออก ทำให้รูขุมขนด้านล่างฐานกว้างขึ้นและกล่ยเป็นหลุม บางรายเกิดการสัมผัสบ่อยๆจนอักเสบเป็นหนองอาจมีเชื้อแบททีเรียเข้าไปทำลาย เนื้อเยื้ยชั้นใต้ผิวหนัง (Collagen) เมื่อเนื้อเยื่ยชั้นใต้ผิวหนังถูกทำลายจึงทำให้แผลเป็นหลุม
ทางออก
- ห้ามสัมผัสหรือแกะเกา เพราะเชื้อโรคจะเข้าไปถึงสิวอุดตันง่ายขึ้นและเม็ดเลือดขาวจะเข้าทำลายเชื้อ แบททีเรียนั้น ทำให้อักเสบและเกิดแผลเป้นหรือริ้วรอยในภายหลัง
- พักผ่อนให้เพียวพอ หลีกเลี่ยงจากความเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ โดยสัมผัสผิวหน้าอย่างเบามือ
- ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผู้เชียวชาญทางผิวหนัง เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสม
คำแนะนำจากแพทย์ผู้เชียวชาญ
นายแพทย์สุรพล ลิขิตวัฒนานุรักษ์ แนะนำว่า “สิวเป็นเรื่องธรรมชาติ สามารถหายเองได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการแกะเกาสิวซึ่งทำให้เกิดรอยแผลเป็นหลุมสิว เมื่อเกิดริ้วรอยและหลุมสิว เมื่อเกิดสิวริ้วรอยและหลุมสิว สามารถใช้เทตโนโลยี Fine Scan 1550 ที่เหมาะสำหรับแผลเป็น จากหลุมสิวและผู้มีรูขุมขนกว้าง เครื่องนี้ทำงานโดยส่งแสงเลเซอร์ผ่านทะลุผิวหนังกำพร้าลึกลงไปถึงชั้น ผิวหนังในระดับลึก จึงมีแผลเล็กๆ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเกิดขึ้น เมื่อผิวหนังเกิดการซ่อมแซมแผลเล็กเหล่านี้ รวมถึงมีการซ่อมแซมแผลเป็นหลุมสิวเก่าด้วย แผลเป็นหลุม หลุมสิวจึงได้รับการฟื้นฟูสภาพให้กลับมามีสุขภาพดีขึ้น”
ขอขอบคุณ ที่มา นิตยสาร SHAPE
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
ว่าที่คุณแม่กับความเลี่ยง
ผู้หญิงทุกคนเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภื แม้จะไม่ใช่ครรภ์แรกก็อดกังวลไม่ได้ว่า การตั้งครรภ์ครั้งนี้จะมีความเสี่ยงไหม เป็นคำถามที่เกิดขึ้นได้และคำตอบนั้นก็เป็นเพียงการคาดคะเน
ตลอด 9 เดือนของการตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่อาจต้องพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งหลายเหตุการณ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ แต่บางครั้งความวิตกกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ใช้เรื่องที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ในขณะนี้เพราะระหว่างตั้งครรภ์ ความเครียดและสิ่งที่คุณแม่เป็น จะเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ไปยังลูกน้อย
ดังนั้น การพิจารณา “ความเสี่ยง” ด้วยสติ เป็นคำตอบที่ดีกว่า สำหรับคุณแม่ทุกคนเริ่มต้นที่มาพิจารณาดูว่า ขณะนี้คุณมีความเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่
การเลือกแพทย์เพื่อฝากครรภ์ในกรณีนี้ อาจต้องพิจารณาด้วยคำถาม หลักๆ คือ
- โรงพยาบาลมีการควบคุมความเจ็บปวดระหว่างคลอดหรือไม่ ถ้าไม่มีการว่างยาสลบ หรือคุณไม่สนมจยาสลบ คุณน่าจะได้มองหาทางเลือดอื่นที่ลดความความเจ็บปวดระหว่างคลอด
- ภายหลังการคลอด คุณสามารถเช้าไปดูลูกได้บ่อยเท่านี้ต้องการหรือไม่ โรงพยาบาลจัดที่พักไว้สำหรับคุณพ่อในช่วงหลังคลอดหรือไม่
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ
ตลอด 9 เดือนของการตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่อาจต้องพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย ซึ่งหลายเหตุการณ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ แต่บางครั้งความวิตกกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ใช้เรื่องที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ในขณะนี้เพราะระหว่างตั้งครรภ์ ความเครียดและสิ่งที่คุณแม่เป็น จะเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ไปยังลูกน้อย
ดังนั้น การพิจารณา “ความเสี่ยง” ด้วยสติ เป็นคำตอบที่ดีกว่า สำหรับคุณแม่ทุกคนเริ่มต้นที่มาพิจารณาดูว่า ขณะนี้คุณมีความเสี่ยงเหล่านี้หรือไม่
- ป่วยด้วยโรคเบาหวาน
- ตรวจพบโรคผิวหนัง
- มีความผิดปกติของเลือด
- ป่วยด้วยโรคหัวใจ ตับ ไต
- เป็นการตั้งครรภ์ฝาแฝด แฝดสาม หรือมากกว่านั้น
- ลูกคนก่อนมีความผิดปกติจากการคลอด
- มีประวัติการแท้งลูก
- มดลูกมีรูปร่างผิดปกติ
- เป็นโรคลมชัก
- มีการติดเชี้อบางอย่าง
- มีการตกเลือด
การเลือกแพทย์เพื่อฝากครรภ์ในกรณีนี้ อาจต้องพิจารณาด้วยคำถาม หลักๆ คือ
- คุณรู้สึกสบายใจและมีความมั่นใจในตัวแพทย์ คุณต้องรู้สึกไว้วางใจและรู้สึกสบายในในตัวแพทย์ที่คุณเลือก รวมถึงกลุ่มบุคคลที่ทำงานด้านนี้ คุณมีอิสระที่จะถามในสิ่งที่คุณกังวลหรือไม่อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องจำไว้ คือ บุคลิกภาพโดยทั่วไปของคุณเข้ากันได้ดีกับปรัชญาการทำงานของคุณหมอหรือไม่ เช่น ผู้หญิงบางคนชอบแนวการคลอดแบบธรรมชาติ ไม่ชอบเทคโนโลยีมากมายเพื่อการดูแลชาวงก่อนคลอด ในชณะที่บางคนต้องการให้แพทย์ทำการตรวจวินิจทุกระยะทุกอย่างก้าสว ประวิติการรักาและประวัติทางสูตินารีเวชของคุณมีอิทธิพลต่อแนวความคิดเกี่ยว กับการตั้งครรภ์ของคุณ
- จำนวนแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการทำคลอด คุณอาจตัดสินใจเลือกระหว่าแพทย์ที่ทำงานกันเป็นทีมหรือแพทย์ที่ปฎิบัติงานเพียงลำพัง
- ถามแพทย์เกี่ยวกับนโยบายการทำงานกรณีที่เป็นเหตการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงถามคำถามที่คุณต้องการทราบทางโทรศัพท์ในชาวงเวลาเย็นหรือวันหยุด
- ลักษณะของโรงพยาบาล ถ้าครรภ์ของคุณไม่มีปัญหา โรงพยาบาลหรือศูนย์ที่ทำคลอดดีๆ สักหน่อยก็ถือว่าเหมาะสม แต่ถ้าคุณมีปัญหาความเสี่ยง คุณอาจต้องเลือกโรงพยาบาลที่ดีสักหน่อยซึ่งมีพยาบาลพร้อมที่จะรับมือกับ ปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด โดยพิจาณาว่า
- โรงพยาบาลมีการควบคุมความเจ็บปวดระหว่างคลอดหรือไม่ ถ้าไม่มีการว่างยาสลบ หรือคุณไม่สนมจยาสลบ คุณน่าจะได้มองหาทางเลือดอื่นที่ลดความความเจ็บปวดระหว่างคลอด
- ภายหลังการคลอด คุณสามารถเช้าไปดูลูกได้บ่อยเท่านี้ต้องการหรือไม่ โรงพยาบาลจัดที่พักไว้สำหรับคุณพ่อในช่วงหลังคลอดหรือไม่
- มีผู้เชียวชาญให้การดูแลใกล้ชิดหรือไม่ กรณีที่คุณต้องการได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญด้านแม่และเด็ก หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลทารกที่คลอดก่อนกำหนดหรือเด็กทารกที่มี ปัญหาการให้ยาทางที่ดีแพทย์จะต้องส่งคนไข้ไปยังผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ได้โดย ทันทีที่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
การช่วยไม่ให้ลืมง่ายๆ
การช่วยไม่ให้ลืมง่ายๆ
ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ขี้ลืม แต่ถ้าคุณมีนิสัยนี้ไปแล้ววิธีแก้ลืมต่อไปนี้ช่วยคุณได้
ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ขี้ลืม แต่ถ้าคุณมีนิสัยนี้ไปแล้ววิธีแก้ลืมต่อไปนี้ช่วยคุณได้
- 1. ตั้งสมาธิ เวลาทำอะไรควรจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น ตั้งสติให้ดี บอกตัวเองว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ทุกๆ ขั้นตอน ทีนี้ถึงจะมีโทรศัพท์เข้ามาหรือมีใครมาขัดจังหวะ คุณก็จะยังจำได้ว่าเมื่อกี้กำลังทำอะไร เอาของวางที่ไหน
- จดให้หมด คนขี้ลืมได้ทุกอย่าง ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นของเล็กๆ น้อยๆ หรือชิ้นใหญ่ สาวๆ จึงต้องจดทุกอย่างที่ต้องที่ต้องทำลงสมุดประจำวันตัวให้หมด แล้วหยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ ข้อความในนั้นจะได้ซึมเข้าสมอง ช่วยให้จำได้ไปเอง
- ฝึกนั่งสมาธิ เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด สาเหตุของอาการขี้ลืมส่วนใหญ่จะมาจากการไม่มีสติแต่ถ้าฝึกนั่นสมาธิเรียกสติ ทุกๆ วัน ไม่ต้องมากแค่วันละ 15 นาที ไม่นานคุณจะมีความจำดีเป็นคนละคนเลย
- อ่านออกเสียง ก็สมุดโน้ตที่คุณจดทุกอย่างลงไปนั้นล่ะ บางทีการอ่านผ่านตาอย่างเดียว ถ้าไม่ตั้งใจ ไม่มีสติ ข้อมูลก็อาจจะไม่เข้าไปสมอง คุณจึงต้องอ่านแบบออกเสียงดังๆ ด้วย วิธีเป็นการช่วยจำที่ตรงไปตรงมาที่สุดเหมือนสมัยเราเด็กๆ เราก็เรียน ก.ไก่ ข.ไข่
- หาคนมาเตือน ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวก็เล่าให้เพื่อนสนิท พ่อแม่ น้อง หรือแฟนฟัง แล้วให้ให้เขาช่วยเตือนคุณ แต่ถ้าเป็นเรื่องงานก็อาจต้องให้เพื่อนๆ ในบริษัทนั่นล่ะช่วยทวนความจำให้ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของวิธีนี้คือเวลาที่คุณ เล่าให้ฟังก็เท่ากับคุณกำลังอ่านเรื่องนี้ออกมาดังๆ สมองคุณจะบันทึกมันเอาไว้ และจำได้ไปด้วย ดีไม่ดีอาจจะไม่ต้องให้เพื่อนเตือนเลยด้วยซ้ำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)